ใช้บัตรเดบิต อย่างไร ไม่ให้เสียเงินเพิ่ม

ใช้บัตรเดบิต อย่างไร ไม่ให้เสียเงินเพิ่ม

ใช้บัตรเดบิต อย่างไร ไม่ให้เสียเงินเพิ่ม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“บัตรเดบิต” เป็นบัตรที่ผูกไว้กับบัญชีเงินฝากของผู้ถือบัตร เพื่อให้คุณใช้ทำรายการที่เกี่ยวกับการเงินที่เครื่อง ATM ไม่ว่าจะเป็นการถอนเงิน การโอนเงิน การสอบถามยอดเงินคงเหลือ และการชำระค่าบริการต่าง ๆ รวมถึงใช้ทำรายการชำระค่าสินค้า และบริการต่าง ๆ ตามร้านค้าทั่วไป และบริการสินค้าออนไลน์ด้วย โดยจะเป็นการหักเงินออกจากบัญชีเงินฝากของคุณทันที (หรือเรียกว่า “Pay Now” นั่นเอง)

ในการชำระค่าสินค้าและการบริการต่าง ๆ ตามร้านค้า หรือร้านค้าที่รับบัตรเดบิต ซึ่งบนบัตรจะติดสัญลักษณ์ของเครือข่าย ที่ออกบัตรร่วมกับธนาคารเจ้าของบัตร อย่างเช่น เครือข่าย VISA, Master Card, China Union Pay (CUP) เป็นต้น การใช้งานของบัตร ก็เพียงแค่คุณสังเกตถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ จากทางร้านค้าที่คุณใช้บริการ แล้วเซ็นชื่อในใบบันทึกการขาย (Sales Slip) หรือกดรหัส (Personal Identification Number: PIN)


ทั้งนี้ รูปแบบของการชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเครือข่ายของผู้ให้บริการบัตรเดบิตเป็นผู้กำหนดเอาไว้ ส่วนการซื้อของออนไลน์ ผู้ถือบัตรจะต้องชำระโดยการระบุหมายเลขของบัตรเดบิต 16 หลัก รหัส CVV (หมายเลย 3 หลักที่อยู่ด้านหลังของบัตร) วันหมดอายุของบัตร และรหัสผ่านที่ใช้ครั้งเดียว (OTP: One Time Password) ที่ได้รับทาง SMS

ข้อดีของการมีบัตรเดบิต
คุณไม่จำเป็นต้องพกเงินสดไปไหนมาไหน คุณเพียงมีบัตรเดบิตที่มีสัญลักษณ์สามารถชำระค่าบริการต่าง ๆ ได้เท่านั้น คุณก็สามารถชำระค่าสินค้าและบริการที่คุณต้องการได้ในทันที การใช้บัตรเดบิตในการชำระสินค้าและบริการนั้นดีกว่ากดเงินออกมาเพื่อชำระสินค้าและบริการต่าง ๆ อีกด้วย เพราะหากคุณไม่สามารถกดเงินสดจากบัตรที่มาจากธนาคารเดียวกันได้ คุณต้องเสียค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่คุณกดเงิน ประมาณ 10 – 15 บาท (แล้วแต่เงื่อนไขของธนาคาร)

การใช้บัตรชำระสินค้าหรือบริการในช่วงโปรโมชั่น คุณอาจจะได้รับส่วนลดในการซื้อสินค้า การโอนเงินโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตรและเงื่อนไขต่าง ๆ ของธนาคารนั้นๆ ด้วย ซึ่งอาจมีอัตราค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าบัตรเดบิตทั่วไป ดังนั้น คุณจึงควรเลือกใช้ประเภทของบัตรเดบิตให้มีความเหมาะสมกับการใช้งาน คุณสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้จากสถาบันทางการเงินผู้ออกบัตรได้โดยตรง


ข้อควรระวังเกี่ยวกับใช้บัตรเดบิต

• เลือกใช้ประเภทของบัตรเดบิตที่มีความเหมาะสมและคุ้มค่ากับการใช้งานของคุณ เพราะว่าบัตรเดบิตแบบนี้จะมีค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าบัตรเดบิตทั่วไป ๆ

• เมื่อคุณทำบัตรใหม่คุณจะต้องลงรายมือชื่อหลังบัตรให้ชัดเจนในทันที เพื่อป้องกันบัตรสูญหาย และอาจจะทำให้คุณต้องเสียเงินในการทำใหม่เพิ่มอีก เป็นการเสียเงินเพิ่มโดยไม่คุ้มค่า

• การชำระผ่านบัตรเดบิต ที่สำคัญคุณต้องเฝ้าดูผู้ขายด้วยเพื่อป้องการผู้ขายขโมยข้อมูลบัตรด้วยเครื่อง Skimmer คุณต้องตรวจสอบจำนวนเงินอย่างละเอียดทุกครั้งที่คุณชำระเงินผ่านทางบัตรเดบิต เมื่อแน่ใจให้คุณเซ็นชื่อลงบน Sales Slip หรือกดรหัส PIN ที่เครื่องรูดบัตร ซึ่งทางร้านจะเก็บไว้เป็นหลักฐานในการชำระเงิน และให้สำเนา Sales Slip อีกฉบับแก่คุณ เพื่อให้คุณตรวจสอบรายการในใบแจ้งยอดการใช้จ่ายกับสำเนา Sales Slip ทุกครั้ง และคุณต้องตรวจสอบยอดเงินในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ

• ทำการแจ้งทันทีเมื่อรู้ว่าบัตรหาย หรือมีรายการที่เจ้าบัตรไม่ได้เป็นผู้กระทำรายการในการซื้อสินค้าที่เกิดขึ้น การซื้อของผ่านทางอินเทอร์เน็ต คุณควรมีการตรวจสอบร้านค้าออนไลน์ว่ามีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยอย่างไร และต้องพิจารณาเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ ของร้านค้าออนไลน์หรือผู้ให้บริการด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

• การชำระเงินผ่านบัตรเดบิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น สามารถลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งคุณจำเป็นต้องละทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อใช้ Verified By Visa (VBV) และ Master Card Secure Code (MCSC)

• อีกหนึ่งสิ่งที่คุณควรรู้ ในการใช้บัตรเดบิตไม่ให้เสียเงินเพิ่ม นั่นก็คือ การต่อสัญญาบัตร ในบางธนาคารได้มีการกำหนดวันหมดอายุของบัตรเอาไว้ด้านหลังของบัตร ตั้งแต่ 5 – 10 ปีด้วยกัน เนื่องจากในปัจจุบันนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและข้อกำหนดใหม่ในการใช้บัตรเดบิต การที่ทางธนาคารได้มีการกำหนดอายุของบัตรก็เพื่อเป็นการอัพเดทข้อมูลของผู้ใช้ให้เป็นปัจจุบัน อย่างเช่น ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ เป็นการยืนยันความมีตัวตนของผู้ถือบัตรให้มีความชัดเจนขึ้นนั่นเอง

• หากคุณไม่ต้องการเสียเงินค่าทำบัตรใหม่ ก่อนที่บัตรจะเกือบหมดอายุ (ก่อนหมดอายุ 1 เดือน) คุณต้องติดต่อไปยังธนาคารเพื่อขอเปลี่ยนบัตรใหม่ และเป็นการยืนยันผู้ใช้บัตรเดบิตนี้ด้วย คุณจะไม่ต้องเสียค่าทำบัตรใหม่ ซึ่งในธนาคารแต่ละแห่งก็จะมีอัตราค่าบริการในการทำบัตรใหม่ที่ต่างกัน

• คุณต้องติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การต่อสัญญาบัตรกับทางธนาคารที่ออกบัตร เผื่อคุณอาจจะต้องไปทำบัตรใหม่ คุณจะได้รู้ค่าใช้จ่ายที่แน่นอน ทั้งนี้หากคุณไม่อยากเสียเงินไปกับการทำบัตรใหม่คุณจำเป็นต้องใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อย อย่างเช่นวันหมดอายุของบัตร เพื่อไม่ให้คุณเสียเงินเพิ่มโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง

นอกจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยอื่นใดสามารถติดต่อไปยังธนาคารที่คุณผูกไว้กับบัตรของคุณ เพื่อสอบถามและปรึกษาในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกี่ยวกับการเงินของคุณได้ โดยตรง เพื่อเป็นการป้องกันสิทธิโยชน์ต่าง ๆ ที่ทางธนาคารได้จัดเตรียมไว้ให้คุณที่สำคัญคุณต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับรายละเอียดตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณทำบัตรเดบิตด้วยค่ะ

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook