เผย”ในหลวง” ทรงประทานแนวคิดเพิ่มมูลค่าแก้ปัญหาราคาข้าวมากว่า 30 ปี
อดีตรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวาณิช เผย ในหลวง ทรงประทานแนวคิดเพิ่มมูลค่าแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ มาแล้วกว่า 30 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2524 พร้อมแชร์ประสบการณ์ โครงการ “ข้าว 'อิ่ม'” ช่วยทำให้ชาวนาในโครงการสามารถขายข้าวได้ตันละ 25,000 บาท
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา นายกรณ์ จาติกวาณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เขียนบทความแนะนำการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ซึ่งชาวนากำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij โดยใช้ชื่อบทความว่า “ข้าวราคาตํ่า ควรทำอย่างไร”
โดยเนื้อหาได้ ยกเหตุการณ์ที่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติได้เล่าว่าเมื่อ 30 ปีก่อนนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงรับสั่งกับดร. ประสาร ในฐานะนักเรียนทุนมหิดล ว่า
"เมื่อพระองค์ทราบว่า ไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์มา และตอนนั้นกำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องตลาดข้าว พระองค์ทรงให้ข้อคิดว่า เรื่องข้าว พอจะมีแนวทางที่จะเพิ่มมูลค่าได้หรือไม่ ตอนนั้นปี 2524 ความจริงซูเปอร์มาร์เก็ตยังไม่ค่อยมี แต่พระองค์ทรงมองการณ์ไกลมาก ทรงตรัสว่า ข้าวแทนที่จะขายเป็นถุงหรือเป็นกระสอบ ความจริงน่าจะนำมาทำแพ็คเกจจิ้ง ทำเรื่องการตลาด ซึ่งจะทำให้ราคาสูงขึ้นได้ ขณะที่ช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย”
นอกจากนี้ นายกรณ์ยังได้แชร์ประสบการณ์ในการทำโครงการ ข้าว ‘อิ่ม’ ซึ่งสามารถช่วยเหลือชาวนาในโครงการให้สามารถขายข้าวได้ราคาสูงถึง 25,000 บาทต่อตัน โดยมีรายละเอียดของแนวทางที่น่าสนใจดังนี้
ข้าวราคาตํ่า ควรทำอย่างไร
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติได้เล่าว่าเมื่อ 30 ปีก่อนนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงรับสั่งกับดร. ประสาร (ในฐานะนักเรียนทุนมหิดล) ดร. ประสารเล่าว่า
"เมื่อพระองค์ทราบว่า ไปเรียนด้านเศรษฐศาสตร์มา และตอนนั้นกำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องตลาดข้าว พระองค์ทรงให้ข้อคิดว่า เรื่องข้าว พอจะมีแนวทางที่จะเพิ่มมูลค่าได้หรือไม่ ตอนนั้นปี 2524 ความจริงซูเปอร์มาร์เก็ตยังไม่ค่อยมี แต่พระองค์ทรงมองการณ์ไกลมาก ทรงตรัสว่า ข้าวแทนที่จะขายเป็นถุงหรือเป็นกระสอบ ความจริงน่าจะนำมาทำแพ็คเกจจิ้ง ทำเรื่องการตลาด ซึ่งจะทำให้ราคาสูงขึ้นได้ ขณะที่ช่วงเวลานั้นยังไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย”
ผมเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ เลยทำให้ลงมือปฏิบัติตามนี้ช้าไปเกือบ 30 ปี แต่ก็ได้พยายามทำตามแนวพระราชดำรัสด้วยการทำข้าว 'อิ่ม' กับชาวบ้านในจังหวัดมหาสารคาม และทำมาสามปีแล้ว
และวันนี้เนื่องจากราคาข้าวตกตํ่ามาก จึงมีกระแสชักชวนให้ชาวนาขายข้าวถุงตรงกับผู้บริโภค แทนที่จะขายข้าวเปลือกให้กับโรงสี ด้วยสมมติฐานว่าจะเป็นกันตัดขั้นตอนเพื่อให้ชาวนามีราคาขายที่สูงขึ้น
แนวคิดนี้เป็นแนวคิดเดียวกันกับที่ผมทำข้าว 'อิ่ม' ซึ่งช่วยทำให้ชาวนาในโครงการสามารถขายข้าวได้ตันละ 25,000 บาท เทียบกับราคาตลาดที่ประมาณ 8,000 บาท แต่อยากจะขอแชร์ความคิดจากประสบการณ์ที่ทำเรื่องนี้มาสามปี
ก่อนอื่นหากจะทำให้สำเร็จ เงื่อนไขสำคัญคือ
1. คุณภาพสินค้าต้องดี (เพราะผู้บริโภคมีสินค้าให้เลือกเยอะ)
2. ทุนหมุนเวียนต้องมี (เพราะการขายปลีกหมายถึงรายได้จะค่อยๆเข้ามาตามที่ขายได้ ต่างกับการเหมาขายให้โรงสีที่จะมีเงินเข้ามาเป็นเงินก้อนทันที)
3. ต้องเข้าถึงตลาดได้ (นี่คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด)
จะทำตามเงื่อนไขสามข้อนั้นนี้มีประเด็นท้าทายมากมาย ขอยกตัวอย่างครับ
1. การรวมตัวชาวนาให้มีเอกภาพเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้รวมตัวกันได้คือเรื่องผลประโยชน์และการมีผู้นำหมู่บ้านที่ดี ผลประโยชน์ในที่นี้คือผลจากการขายข้าว ซึ่งต้องให้ความมั่นใจกับชาวนาว่าข้าวสารของเขาจะขายได้แน่ และขายได้ในราคาที่ดีกว่าการขายให้โรงสี
2. การขายข้าวให้ได้ราคาต้องเป็นข้าวมีคุณภาพ ซึ่ง 'คุณภาพ' ในที่นี้หมายถึงทั้งพันธุ์ข้าวและวิธีการปลูกที่ควรปลอดการใช้สารเคมี การโน้มน้าวให้ชาวนาเปลี่ยนกรรมวิธีเพื่อให้ได้ 'คุณภาพ' เป็นเรื่องที่ท้าทาย
4. เรื่องทุนสำคัญครับ เพราะชาวนารายเล็กจะยากจน เขารอรับเงินไม่ได้ และพร้อมขายเหมาถูกๆเพื่อแลกกับการได้เงินเร็ว
4. เราขายข้าว 'อิ่ม' ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆได้ แต่จะทำอย่างไรให้ชาวนาทุกคนมีช่องทางแบบนี้? กระบวนการมีรายละเอียดค่อนข้างมาก เช่นสินค้าต้องมี อย. ต้องมีการบริหาร logistic ต้องมีคนเช็คสต๊อก ฯลฯ และที่สำคัญชาวนาทุกกลุ่มจะหวังว่าสินค้าของตนจะเข้าห้างได้คงยาก จึงต้องมียุทธศาสตร์อื่นด้วย
5. การขายผ่าน e-commerce ยังมีปัญหาเรื่องการขนส่ง หากส่งทางไปรษณีย์มีต้นทุนกิโลละ ๓๐ บาท ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับราคาข้าว
นอกจากนี้ยังมีประเด็นปลีกย่อย (ที่ล้วนสำคัญ) อีกมากมาย เช่นหากไม่ขายโรงสีแล้วจะสีข้าวอย่างไร หากสีเองจะได้มาตรฐานหรือไม่ การแพ็คถุงก็มีประเด็นตั้งแต่การลงทุนซื้อเครื่องแพ็คไปถึงการจัดคิวแรงงานแพ็คของ
โดยสรุปงานชาวนาจะเพิ่มมากขึ้นเยอะ แต่เขาจะไม่เกี่ยงงานหากเขามั่นใจว่าจะได้ในราคาขายที่ดีขึ้นมาก ซึ่งหากพิจารณาตามราคาปลีกทั่วไปทุกวันนี้ของข้าวที่ไม่เป็นพรีเมี่ยม จะเห็นว่าราคาไม่เป็นแรงจูงใจที่เพียงพอนัก
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่ารัฐมีส่วนช่วยได้ในทุกขั้นตอน ขอให้มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนที่จะช่วยให้ชาวนาพึ่งพาตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น การช่วยสร้างแบรนด์ท้องถิ่น การรับซื้อเพื่อใช้ในโรงเรียนหรือสถานพยาบาลของรัฐ การจัดสรรงบเพื่อชาวนาลงทุนในอุปกรณ์ ฯลฯ
หรือแม้แต่แนวคิดที่ดูเหมือนอาจจะฉีกแนว เช่นการสำรองโควต้าการขายข้าวถุงให้ชาวนา
และยุทธศาสตร์นั้นต้องรวมถึงการยกระดับสินค้าให้เป็นพรีเมี่ยม การแปรรูป และการสร้างรายได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากข้าว
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก facebook: Korn Chatikavanij