แวดวงธนาคารจะอยู่รอดในยุค 'ฟินเทค' อย่างไร
ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาคำว่า 'ฟินเทค' กลายเป็นคำพูดที่ติดหูที่สุดในแวดวงการเงินทั่วโลก จากเดิมที่คนเราคุ้นเคยกับการเดินทางไปทำธุรกรรมที่ธนาคาร ตอนนี้การทำธุรกรรมเกิดขึ้นที่ปลายนิ้วโดยแทบไม่ต้องเจอใครเลยจากทุกที่บนโลก (และบางทีไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ) กำลังจะกลายเป็น new normal สำหรับผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อย
แม้ว่าธนาคารใหญ่ๆ หลายเจ้าจะเริ่มไหวตัวกันแล้วบ้างแล้ว เช่น เริ่ม digitize ข้อมูลและระบบเดิมมากขึ้นหรือเริ่มทำ mobile banking ก็ยังถือว่าเป็นการปรับตัวที่เชื่องช้ามากเมื่อเทียบกับไอเดียและความคิดที่กำลังถูกปรุงแต่งโดยทีมสตาร์ทอัพฟินเทคใหม่ๆ
นั่นจึงเกิดคำถามขึ้นว่าธนาคารยุคเก่าที่เราคุ้นเคยกันจะอยู่รอดอย่างไร ท่ามกลางคลื่นลูกใหม่ที่กำลังรุกรานถิ่นเก่าการเงินนี้
1. เริ่มปรับตัวเป็นธนาคาร Hybrid
บริการและการอำนวยความสะดวกที่สตาร์ทอัพฟินเทคกำลังสร้างอยู่ในขณะนี้ เมื่อสำเร็จแล้วส่วนใหญ่มักเหนือกว่าสิ่งที่ธนาคารยุคเก่าทำได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนในการทำธุรกรรม (ทั้งสำหรับธนาคารเองและสำหรับลูกค้า) การเสริมคุณภาพบริการแนะนำการลงทุนแบบ robo advisor ไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น การรองรับเงินฝากเป็น cryptocurrency หรืออำนวยความสะดวกให้ลงทุนใน cryptofunds อย่างที่ธนาคารดิจิทัลดาวรุ่งอย่าง Bankera (www.bankera.com) พยายามจะทำ
เมื่อดูจากเทรนด์ AI กับเทรนด์ voice command ที่ไปไกลมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีโอกาสสูงที่จะเกิดบริการแนะนำทางการเงินหรือ personal finance assistant แบบเดียวกับที่ Alexa ช่วยลูกค้า Amazon ซื้อของ
ในอนาคตธนาคารยุคเก่าไม่มีทางเลือกอื่นมากนักนอกจากค่อยๆ ปรับตัวให้กลายเป็นธนาคาร hybrid ที่มีทั้งบริการยุคเก่าและมีบริการยุคใหม่ อีกทั้งควรรับทั้งเงินสกุลปกติและสกุลดิจิทัลเมื่อมีกฎหมายรองรับ เนื่องจากบริการใหม่ๆ ในยุคฟินเทคและเงินดิจิทัลมีจุดเด่นที่สามารถรุกรานจุดยืนของธนาคารยุคเก่าได้แทบทุกจุด มันขึ้นอยู่กับแค่เวลาและการเปิดรับของภาครัฐ จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าธนาคารไหนจะปรับทิศทางอย่างไรและด้วยความเร็วแค่ไหน เพราะทุกวันนี้ระบบหลักในธนาคารจำนวนมากก็ยังคงมีรากลึกมาจากเทคโนโลยียุคก่อนอินเตอร์เน็ต (pre-internet technology) การปรับตัวครั้งนี้จึงยังเป็นไปได้อย่างค่อนข้างล่าช้า
2. ใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าเดิม
สองสิ่งที่ธนาคารยุคเก่ามีเหนือกว่าแบบเห็นๆ คือฐานลูกค้าที่กว้างและความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาหลายสิบปี บางสตาร์ทอัพฟินเทคสามารถระดมทุนมหาศาลได้อย่างว่องไวก็จริง แต่สิ่งที่ท้าทายกว่ามากคือการสร้างฐานลูกค้า mainstream ที่แผ่กระจายไปทั่วประเทศอย่างที่ธนาคารยุคเก่าเคยทำสำเร็จ
ที่ผ่านมาแม้ฟินเทคดูเหมือนว่าจะสามารถเข้า disrupt อุตสาหกรรมการเงินได้ ถึงกระนั้นต้องยอมรับว่าฟินเทคยังอยู่ในช่วงพิสูจน์ตัวเอง คนส่วนมากนอกวงการยังไม่รู้จักเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้
ตัวอย่างเช่น Paypal ที่ทุกวันนี้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางก็ยังต้องใช้เวลานานเกินสิบปีกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เงินดิจิทัลที่สร้างความฮือฮากันมากทุกวันนี้เองก็มีการคาดไว้ว่ามีผู้ใช้งานจริงๆ ไม่ถึง 4 ล้านรายทั่วโลก (http://www.cam.ac.uk/research/news/study-highlights-growing-significance-of-cryptocurrencies)
หากดูจากประสบการณ์ของ Paypal จะทราบได้ว่าเทคโนโลยีดี โมเดลธุรกิจดี ไม่พอในการผงาดในโลกการเงิน ต้องมีการสร้างแบรนด์ที่ผู้ใช้งานเชื่อมั่นด้วย กลับกันธนาคารยุคเก่ามีทั้ง reach (ถึงแม้จะเป็น reach ที่โลว์เทคกว่า) และมีทั้งแบรนด์ และการมีฐานลูกค้าที่ใหญ่กว่าแปลว่ายังมีโอกาสใช้ประโยชน์จาก Big Data ได้มากกว่าด้วย เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลได้ปริมาณและหลายมิติกว่ามาก
เราเริ่มเห็นการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ใน 3 ด้านใหญ่ๆ แล้ว ก็คือ ในด้านของการตลาด ในด้านของการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และในด้านของการบริหารความเสี่ยง
ในด้านการตลาด ข้อมูลปกติที่ธนาคารมีอยู่แล้ว จะช่วยให้ธนาคารตอบโจทย์และมัดใจกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีขึ้น เปิดโอกาสรุกตลาดใหม่มากขึ้น ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานนั้น ก็เริ่มมีการใช้ HR Analytics มาปรับปรุงความกระชับและความสามารถของแรงงานในธนาคาร หรือใช้ข้อมูลภายในดูว่าผลิตภัณฑ์ไหนก่อให้เกิดกำไรมากที่สุด
แต่ที่ดูเหมือนจะใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด ก็คือการใช้ข้อมูลขนาดยักษ์เพื่อบริหารความเสี่ยง ทั้งความเสี่ยงในเชิงของสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคาร และความเสี่ยงที่มาจากการทุจริตหรือการหลอกลวงที่อาจคุกคามความปลอดภัยและความมั่นใจในแบรนด์ของลูกค้า
จริงอยู่ว่าธนาคารยุคเก่าจะยังปรับตัวเข้ากับยุคฟินเทคได้ค่อนข้างช้า เนื่องจากการปรับตัวมีความเสี่ยงและมันปรับตัวกันไม่ได้ง่ายๆ แต่ต้องไม่ลืมว่าธนาคารยุคเก่า เขาออกตัวก่อนมานานมาก ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จึงเป็นช่วงสำคัญที่น่าคอยจับตาดูว่าธนาคารไหนจะสามารถใช้ประโยชน์จากการออกตัวก่อนนี้ได้มากที่สุด