เจาะลึกกองทุนรวมหุ้น สำหรับชาวออฟฟิศ

เจาะลึกกองทุนรวมหุ้น สำหรับชาวออฟฟิศ

เจาะลึกกองทุนรวมหุ้น สำหรับชาวออฟฟิศ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา เมื่อทำงานได้ซักระยะก็เริ่มแบ่งเงินจำนวนหนึ่งเก็บไว้เพื่อใช้จ่ายยามเกษียณ จะดีแค่ไหนถ้าระหว่างที่เราทำงานก็มีเงินออมที่ช่วยทำงานสร้างผลตอบแทนอีกแรงหนึ่ง โดยช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจที่เราอยากจะนำเสนอในวันนี้คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นไทย ใน 10 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยแม้จะมีความผันผวน ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจโลก เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง หรือ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แต่ถ้าดูในระยะยาว 10 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนรวมจาก SET100 Index (ปี 2549-2559) อยู่ที่ประมาณ 11.89% ต่อปี ดังนั้นหาก 10 ปีที่แล้วถ้าเราลงทุนในหุ้นตาม SET100 Index จำนวน 100,000 บาท เวลาผ่านไปเงินนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 307,548 บาท ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็นับเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยการเลือกกองทุนรวมก็ไม่ต่างอะไรจากการเลือกหุ้น โดยกฎง่ายๆในการเลือกซื้อ คือ การลงทุนควรมีการกระจายไปยังกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนต่างๆเพื่อช่วยลดความเสี่ยง เหมือนกับสำนวนที่บอกว่า “ Don't put all your eggs in one basket ” อีกทั้งผู้ลงทุนควรศึกษานโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ให้เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง โดยนักลงทุนสามารถใช้อัตราผลตอบแทนในอดีตเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน แต่อย่างไรก็ดีผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกผลตอบแทนในอนาคตได้ทั้งหมด

หากนักลงทุนมีความตั้งใจจะลงทุนในกองทุนรวมหุ้นแล้ว เราขอแบ่งประเภทของกองทุนออก เป็น 3 ประเภทหลัก ประเภทแรก กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) โดยกองทุนประเภทนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการเสี่ยงต่ำ โดยเน้นการลงทุนในหุ้นตามดัชนี เช่น SET50 SET100 ซึ่งข้อดีคือกองทุนประเภทนี้คิดค่าธรรมเนียมต่ำ แต่ก็มีข้อเสียคือจะได้อัตราผลตอบแทนตามดัชนี ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการทำกำไรเกินกว่าตลาด กองทุนประเภทที่สอง กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) ประเภทต่างๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือ กองทุนรวมตราสารทุนอื่นๆ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า Index Fund โดยกองทุนประเภทนี้จะได้รับการบริหารแบบ active มุ่งเน้นการได้รับอัตราผลตอบแทนสูงกว่าตลาด ซึ่งหากนักลงทุนเลือกลงทุนในกองทุนประเภท LTF และ RMF แล้ว นักลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้อีกด้วย แต่หากผู้ลงทุนเป็นผู้มีความรู้ทางการลงทุนและรับความเสี่ยงได้มากกว่าสองประเภทข้างต้น ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ใน กองทุนประเภทที่สาม กองทุนรวมกลุ่มธุรกิจ(Sector Fund)  ซึ่งกองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากนโยบายการลงทุนมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นธุรกิจเฉพาะกลุ่ม  เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มธนาคาร กองทุนประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ศึกษาข้อมูล วิเคราะห์แล้วว่าธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะเติบโตได้ดี ซึ่งหากการวิเคราะห์แนวโน้มนั้นถูกต้องก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่งดงาม

ซึ่งเมื่อนักลงทุนเลือกประเภทกองทุนแล้ว คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ควรจะซื้อกองทุนเมื่อไหร่? หลายคนถามว่า SET Index ในเวลานี้ที่ 1,700 จุด สูงไปไหม รอตลาดตกแล้วค่อยซื้อดีกว่ารึเปล่า? หากเป็นการลงทุนเพื่อออมเงินในระยะยาวแล้ว การทยอยซื้อกองทุนในทุกๆปี ไม่ว่าจะเป็นปีที่ตลาดขึ้นหรือตลาดลงก็อาจจะดีกว่าการรอแล้วไม่ได้ซื้อซักที มัวแต่คิดว่าถ้าวันนี้ซื้อแล้วพรุ่งนี้ตลาดตกแล้วจะเสียดาย ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสทางการลงทุน  อันที่จริงแล้วการลงทุนในตลาดหุ้นก็เปรียบเสมือนเครื่องสร้างผลตอบแทนตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ หากเราเชื่อว่า 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้าจะต้องดีกว่าวันนี้ การทยอยลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นอย่างมีวินัยก็เป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีทีเดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook