โลกนี้ไม่ได้มีแค่ 'Bitcoin' รู้จัก 3 สกุลเงินดิจิตอลมาแรง และน่าติดตามส่งท้ายปี 2017

โลกนี้ไม่ได้มีแค่ 'Bitcoin' รู้จัก 3 สกุลเงินดิจิตอลมาแรง และน่าติดตามส่งท้ายปี 2017

โลกนี้ไม่ได้มีแค่ 'Bitcoin' รู้จัก 3 สกุลเงินดิจิตอลมาแรง และน่าติดตามส่งท้ายปี 2017
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ราคา Bitcoin ในปัจจุบันมีความผกผันสูง แต่ก็ยังดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากสนใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของสกุลเงินดิจิตอลในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ Bitcoin แต่ยังมีสกุลเงินอื่นๆ อีกเพียบ เราจะมาทำความรู้จักสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆ กัน

overview

1. Ripple (XRP)ripple

ที่จริงแล้วไม่ใช่ชื่อสกุลเงินดิจิตอล แต่เป็นชื่อของระบบเครือข่ายการชำระเงินทั่วโลกแบบ​ “Crypto”​ ​ที่ช่วยอำนวยให้การชำระเงิน​ แลกเปลี่ยนหรือส่งสินทรัพย์ไม่ว่าจะจากที่ใดในโลก​ ​เกิดขึ้นได้อย่างไร้แรงเสียดทานและรวดเร็วที่สุด​ ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก​ การส่งเงินต่างสกุลให้ญาติที่อยู่ต่างแดน​ ​

พูดง่ายๆ​ ก็​คือ​ Ripple เป็นตัวกลางที่คอยเสาะหาช่องทางที่มีต้นทุนต่ำที่สุดสำหรับการทำธุรกรรมทุกประเภท

สองจุดที่​ Ripple สามารถ​เข้ามาเขย่าวงการได้มากที่สุดคือ​ 1. การ​ทำ​ Settlement ระหว่างธนาคาร​ และ 2. การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ​ 

ทั้งสองจุดนี้หลายคนคงทราบดีว่าเข้าจุดอิ่มตัวมานานหลายสิบปี​  มีกระบวนการที่หลายต่อ​​ และมีพ่อค้าคนกลางหลายคน​ การทำ​ Settlement ระหว่างธนาคารนั้นมักใช้เทคโนโลยียุคก่อนอินเตอร์​เน็ต​ นั่นก็คือระบบ​ SWIFT​ ซึ่งไม่เสร็จสิ้นทันที​และมีค่าธรรมเนียมสูง​ การแลกเงินไปสกุลต่างประเทศลูกค้าก็มักถูกธนาคารเก็บส่วนต่างไปไม่ใช่น้อยโดยเฉพาะหากต้องการแลกซื้อเงินสกุลที่ exotic มากๆ​ กลับกัน​ ผู้ใช้งาน​ Ripple ที่ชื่อนายแดง​สามารถส่งสินทรัพย์​ไปยังบัญชี​ของผู้ใช้ชื่อนายดำได้แบบทันที​ ไม่มี​ Counterpart Risk และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง

ส่วนตัวสกุลเงิน XRP นั้น​ นอกจากจะทำตัวเป็นราคาของทุกสินทรัพย์​ในระบบ​ Ripple เผื่อว่าไม่มีผู้ซื้อผู้ขายที่มีความต้องการเดียวกันพร้อมกันแล้ว​ ยังทำตัวเป็นเหมือนตัวหล่อลื่น​ระบบ​ Ripple ด้วย โดยทุกๆ ธุรกรรมจะมีต้นทุนขนาดย่อมเป็นสกุล​ XRP​ และต้นทุนนี้ไม่มีใครเก็บไป​ แต่จะถูกทำลายแทน  ทั้งหมดนี้เพื่อให้ไม่เกิดการ​ Spam​ ระบบขึ้น​ ​

ที่น่าสนใจที่สุด คือ​ Ripple มี​จุดขายที่แทบจะตรงกันข้ามกับ​ Bitcoin​ ยกตัวอย่างเช่น Bitcoin​ ต้องการปิดบังความเป็นตัวตนของผู้ใช้​ เกลียดชังการสุงสิงกับสถาบันการเงิน​ และยังมีข้อจำกัดมากในการทำธุรกรรมขนาดใหญ่​ แต่ Ripple ฉีกแนว​ เน้นการใช้งานที่มีหลักฐาน มีที่มาที่ไปเกี่ยวกับผู้ใช้ครบถ้วน​ จึงยืดหยุ่นและเข้ากับกฎหมายของหลายประเทศได้ดีกว่า Bitcoin และพยายามที่จะเจาะตลาดที่มีอยู่แล้ว โดยใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือที่เหล่าสถาบันการเงินสร้างมากับมือเป็นเวลานาน​

2. ZeroCash

zerocash

Bitcoin​ เคยมีจุดขายหนึ่งคือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน​ แต่ปัญหาคือ​ มันมีความเป็นส่วนตัวแค่ไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งสามารถ​วิเคราะห์​ข้อมูลธุรกรรม​ที่ถูกบันทึกใน​ Ledger ที่ทุกคนมองเห็นแล้ว​สืบพร้อมกับ​ FBI กลับไปจับตัวผู้ใช้งานรายหนึ่งที่ทำการค้ายาเถื่อนได้​ 

นั่นก็คือถ้าถามว่า​ Bitcoin​ หรือการนัดพบเพื่อจ่ายเป็นเงินสดแบบซึ่งๆ หน้า​ อันไหนมีความเป็นส่วนตัวมากกว่ากัน​ คิดดูดีๆ แล้วธุรกรรมที่ใช้เงินสดก็ยังปกปิดความเป็นตัวตนได้มากกว่าอยู่ดี

ZeroCash​ คือสกุลเงินดิจิตอลที่ต้องการตอบโจทย์​ของการปกปิดตัวตนของผู้ใช้อย่างสมบูรณ์ โดยมีหลักการคร่าวๆ​ คือผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมได้โดยการเอาเงินไปแลกกับใบเสร็จนิรนาม​ แล้วใช้ใบเสร็จนั้นทำธุรกรรม​ สิ่งที่จะปรากฏ​อยู่ให้ทุกคนเห็นในภายหลังคือใบเสร็จไหนทำธุรกรรมอะไรไป​ แต่ไม่สามารถสืบกลับไปถึงต้นน้ำได้ว่าผู้ใช้​ ZeroCash​ ที่ทำการสุ่มใบเสร็จ​นี้คือใคร

3. Dash

dash

ณ​ เวลานี้ไม่มีเงินสกุลดิจิตอลน้องใหม่ร้อนแรงเท่า​ Dash อีกแล้ว​ ภายในช่วงเวลาแค่สามปี สามารถครองตลาด​เงินดิจิตอลได้เป็นถึงอันดับ​ 3 รองจาก​ Bitcoin​ และ​ Ethereum​

Dash คือ​ เงินสดดิจิตอล​ (Cash ที่สะกดด้วย​ตัว​ D)​ ที่ตั้งใจตีตลาด​ mass และต้องการให้คนใช้กันอย่างแพร่หลายและใช้ได้ง่ายๆ​ เหมือนที่คนใช้​ Paypal​ กันอย่างทุกวันนี้​

ประมาณว่าคุณไม่ต้องเข้าใจเลยว่า​ Paypal​ มีเทคโนโลยีอะไรอยู่เบื้องหลังคุณก็สามารถใช้มันอย่างง่ายดาย​ หากให้สรุปแบบคร่าวๆ​​ Dash ก็คือ Bitcoin​ ที่มีโอกาสรุ่งในฐานะ​ “เงิน” ที่เป็น​ Medium​ of Exchange มากกว่า​ Bitcoin

สาเหตุที่ Bitcoin​ สอบตกในฐานะ​ “เงิน” เมื่อเทียบกับ​ Dash นั้น เหตุผลแรก ปัจจุบันต้นทุนในการทำธุรกรรม​ Bitcoin​ เริ่มสูงขึ้นจนไม่คุ้มค่าต่อธุรกรรมเล็กๆ น้อยๆ​ อีกต่อไปแล้ว เช่น การซื้อน้ำ ซื้ออาหาร​ อีกทั้งหากจะประหยัดค่าธรรมเนียมก็อาจต้องรอเป็นวันกว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้น​  Dash สามารถทำ​ Micropayment​ ที่สะดวก​ว่องไว​ มีบริการธุรกรรมที่เสร็จสิ้นได้ทันที​ และมีต้นทุนต่ำกว่า​ Dash จึงชนะไปในจุดนี้

เหตุผลที่สองคือ​ Dash มีสังคม และ​ Ownership Structure ที่ไม่น่ากระวนกระวายใจเท่ากับในกรณีของ​ Bitcoin​ ที่เต็มไปด้วยความแตกแยก​ ซึ่งนอกจากจะสร้างความไม่แน่นอนในอนาคตของมันแล้วยังทำให้ระบบพัฒนาหรือแก้ไขข้อบกพร่องได้ช้ากว่า​ Dash มาก​ 

นอกจากนี้​ Dash ยังมีตำแหน่ง​ “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ที่เรียกกันว่า​ Masternodes​ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิ์​ออกเสียง​ในการตัดสินใจความเป็นไปของ​ Dash ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ​ Scalability หรือแม้กระทั่งการจะจ้าง​ Developer มือดีคนไหนมาพัฒนาระบบต่อไป​ ซึ่งตำแหน่ง​ Masternodes​ นี้ซื้อได้ที่ราคา​ 1000​ Dash 

ในขณะที่สังคม​ Bitcoin​ เต็มไปด้วยปมการเมือง​ สังคม​ Dash เชื่อว่า​ คนส่วนมากอยาก​ “ใช้เงินให้เป็นเงิน” เหมือนที่เราถือเงินบาทในกระเป๋าสตางค์​ ไม่ได้ต้องการลุ้นดราม่า​ว่าเงินที่ตนถืออยู่จะกลายพันธุ์​ไปเป็นอะไรที่ไม่พึงประสงค์ไหม หลังจากที่ใครก็ไม่รู้ออกเสียงกันพรุ่งนี้​ และไม่แคร์ว่าตนจะต้องออกเสียงอย่างไรในการประชุมรอบต่อไป​ ปล่อยให้​ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีแรงจูงใจมากที่สุดเป็นผู้ตัดสินใจไปดีกว่า

หวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพอนาคตของระบบนิเวศเงินดิจิตอลชัดขึ้นนะครับ​ ในความเห็นส่วนตัวแล้ว​ ผู้เขียน​คิดว่าจะมีเงินสกุลใหม่ๆ​ ที่ออกมาตอบโจทย์​ Niche แบบทั้งสามสกุลนี้เพิ่มขึ้น​ และจะน่าติดตามมากว่า​จุดยืนของ​ Bitcoin​ จะกลายไปเป็นอะไรเมื่อจุดแข็งในอดีตของ​มัน​ กำลังถูกแซงไปทีละจุดอย่างรวดเร็วโดยเงินสกุลน้องใหม่เหล่านี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook