ทำไม Disney ถึงหวนซื้อกิจการ 21st Century Fox อีกรอบ!?
ดิสนีย์ (Disney) ผู้นำความบันเทิงจากฮอลลีวูด และทเวนตี้ เฟิร์ส เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ (21st Century Fox) บริษัทแม่ของฟ็อกซ์ ได้กลับมาเปิดการเจรจาอีกครั้ง ภายหลังการเจรจารอบแรกไม่ลงตัว
อ่านเพิ่มเติม: 'Disney' เจรจาซื้อ '21st Century Fox' ขยายอาณาจักรความบันเทิง
การเจรจาระหว่างดิสนีย์และฟ็อกซ์ คาดว่าจะเป็นไปตามเงื่อนไขเดิม นั่นคือ ดิสนีย์จะได้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ความบันเทิงของฟ็อกซ์ นั่นหมายความว่า ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ในเครือมาร์เวลฉบับภาพยนตร์ที่อยู่ในมือของทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ จะกลับคืนสู่มือของมาร์เวล (Marvel) และบริษัทแม่อย่างดิสนีย์ ทำให้ในอนาคตอันใกล้ มีโอกาสที่ผู้ชมจะได้เห็นภาพยนตร์ X-Men, Fantastic Four ไปจนถึง Deadpool ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมาร์เวล
ข้อมูลจากแหล่งข่าวในการซื้อขายกิจการครั้งนี้ เปิดเผยว่า ดิสนีย์มีความต้องการที่จะให้การดำเนินการซื้อฟ็อกซ์ให้เป็นไปอย่างเงียบเชียบที่สุด และพยายามที่จะไม่ให้มีข้อมูล ตัวเลข หรือเงื่อนไขในการซื้อขายหลุดออกมาสู่สาธารณะ
อย่างไรก็ดียังไม่มีการยืนยันว่า เพราะเหตุใดการเจรจารอบแรกระหว่างดิสนีย์และฟ็อกซ์ถึงล้มเหลว แต่เรื่องดังกล่าวเชื่อว่า อาจเป็นเพราะเงื่อนไขในการเจรจาบางประการที่ไม่ลงตัว รวมไปถึงการที่ฟ็อกซ์ได้รับความสนใจจากคอมคาสต์ (Comcast) และโซนี่ (Sony) จึงทำให้ฟ็อกซ์อยู่ในสถานะที่สามารถเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดได้อย่างอิสระ
สิ่งที่ Disney ได้รับมิได้มีแค่ Fantastic Four, X-Men และ Deadpool
ประเด็นที่น่าสนใจยังไม่หมดเพียงเท่านี้ อย่างที่ทราบกันดีว่า ดิสนีย์มีความพยายามที่ต้องการจะดึง Fantastic Four, X-Men ไปจนถึง Deadpool ให้กลับมาอยู่ในมือมาร์เวล เพื่อเป็นงานง่ายสำหรับการสร้างจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ที่เรียกว่า Marvel Cinematic Universe แต่เหตุผลลึกๆ ในการซื้อฟ็อกซ์ ยังมีเหตุผลอื่นเพิ่มเติม
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเงื่อนไขในปัจจุบันของดิสนีย์เกี่ยวกับภาพยนตร์ชุด STAR WARS จะยังมีผลเฉพาะไตรภาคใหม่ 7-9 เท่านั้น มิได้นับรวมเอพพิโซด 1-6 ซึ่งเป็นไตรภาคเดิมของ STAR WARS ที่อยู่ภายใต้การดูแลและจัดจำหน่ายโดยฟ็อกซ์ ซึ่งสัญญาฉบับเดิมระหว่างลูคัสฟิล์มและฟ็อกซ์ จะสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม ปี 2020
อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาระหว่างลูคัสฟิล์มและฟ็อกซ์จะสิ้นสุดในปี 2020 ก็จริง ทว่า STAR WARS Episode IV: A New Hope หรือเอพพิโซดที่ 4 ลิขสิทธิ์ทั้งหมดก็จะยังคงเป็นของฟ็อกซ์ต่อไป เนื่องจากว่า ในช่วงที่สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ฟ็อกซ์เป็นผู้ออกเงินทุนสำหรับการสร้างภาพยนตร์ทั้งหมด
นั่นจึงเป็นข้อผูกมัดกลายๆ ว่า ถ้าหากดิสนีย์ต้องการถือลิขสิทธิ์เกี่ยวกับ STAR WARS ทั้งหมด จะต้องซื้อฟ็อกซ์ไปเป็นกรรมสิทธิ์
เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าหากการเจรจาระหว่างดิสนีย์และฟ็อกซ์ลุล่วง ภาพยนตร์แฟรนไชส์ดังอย่าง Avatar ก็จะเปลี่ยนมือมาอยู่ภายใต้การดูแลของดิสนีย์ทันที ซึ่งตรงนี้สามารถเพิ่มมูลค่าการตลาด ไปจนถึงการเป็นธีมปาร์คภายในสวนสนุก Disneyland เรียกว่าดิสนีย์รอฟันกำไรเน้นๆ ในระยะยาวได้เลย