5 ภาพยนตร์ที่ 'นักธุรกิจ' ควรดู

5 ภาพยนตร์ที่ 'นักธุรกิจ' ควรดู

5 ภาพยนตร์ที่ 'นักธุรกิจ' ควรดู
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แหล่งความรู้เกี่ยวกับคนทำธุรกิจทุกวันนี้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่หนังสือ หรือข่าวเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้เกี่ยวกับนักธุรกิจยังมีอีกหลายแห่งให้เราได้ค้นหาความรู้กัน หนึ่งในนั้นก็คือภาพยนตร์และซีรีส์ ทั้ง 5 เรื่อง ซึ่งเชื่อว่าทันทีที่ดูจบ นอกจากความเพลิดเพลินที่จะได้รับแล้ว ยังอาจได้ความรู้เพิ่มเติม แนวคิด เกี่ยวกับการทำธุรกิจเป็นของแถมอีกด้วยครับ

The Big Short (เข้าฉายปี 2015)

thebigshortThe Big ShortThe Big Short

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือของไมเคิล ลูอิส ในหนังสือที่มีชื่อว่า The Big Short ชื่อเดียวกับภาพยนตร์ เค้าโครงของหนังสือก็บอกเล่าถึงวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 ซึ่งจะเล่าถึงที่มาที่ไปของวิกฤตทางเศรษฐกิจในครั้งนั้นว่าใครเป็นผู้ได้ประโยชน์และใครเป็นผู้เสียประโยชน์

เอาเข้าจริง The Big Short ก็เป็นภาพยนตร์ที่ดูยากสักหน่อย เพราะในเรื่องมีศัพท์เทคนิค ศัพท์เฉพาะ ลอยละล่องอยู่เต็มไดอะล็อกไปเสียหมด แต่ผู้กำกับอดัม แมคเคย์ ฉลาดมาก โดยเลือกที่จะตัดคัทซีนให้มีคนดังจากฮอลลีวูด อาทิ มาร์โก ร็อบบี้, เซเลนา โกเมซ อธิบายในฉากยากๆ เพื่อให้คนดูสามารถดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างต่อเนื่อง 

ส่วนตัวนักแสดงในเรื่องก็เรียกได้ว่า ระดับท็อปๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน เบล, ไรอัน กอสลิง, สตีฟ คาเรลล์ และแบรด พิตต์ นักแสดงระดับนี้มาเล่นในหนังเรื่องเดียวกัน ถือว่าคุ้ม

Margin Call (เข้าฉาย 2011)

margincallMargin CallMargin Call

อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่บอกเล่าเหตุการณ์วิกฤตทางการเงินของอเมริกาในปี 2008 ที่ห้วงเวลานั้น วอลล์ สตรีท เต็มไปด้วยความปั่นป่วน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเปราะบางของบรรดาสถาบันการเงินชั้นนำของโลก 

ในภาพยนตร์ Margin Call จะต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่พูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) เนื่องจากจุดประสงค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าถึงคนรวย คนมีสตางค์ และผู้คนในแวดวงการเงิน เลือกที่จะเอาตัวรอด และแสดงความเห็นแก่ตัวอย่างไรในภาวะที่เกิดวิกฤต ซึ่งท้ายที่สุด ปัญหาทางเศรษฐกิจครั้งนั้นก็ส่งผลต่อผู้คนจำนวนมาก และดูเหมือนว่าเหล่าคนรวยก็ดูจะไม่แยแสสักเท่าไหร่

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ นำแสดงโดยนักแสดงฝีมือดีจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเควิน สเปซีย์, แซคคาริน ควินโต, เดมี่ มัวร์, พอล เบ็ตตานีย์ และสแตนลีย์ ทุชชี

The Wolf of Wall Street (เข้าฉายปี 2013)

thewolfofwallstreetThe Wolf of Wall StreetThe Wolf of Wall Street

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเหตุการณ์จริงของจอร์แดน เบลฟอร์ท โบรกเกอร์ที่สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล จนทำให้เขากลายเป็นตำนานแห่งวอลล์ สตรีท โดยเบลฟอร์ทได้เลือกเส้นทางในแวดวงสายการเงิน โดยคาบเส้นระหว่างการเป็นโบรกเกอร์สีขาว และสีเทาไปพร้อมๆ กัน และเมื่อคนเรานำพาตัวเองเข้าสู่ด้านมืดมากขึ้นในทุกๆ วัน ท้ายที่สุดจอร์แดน เบลฟอร์ท ก็เดินทางเข้าสู่การทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ทำให้เบลฟอร์ทต้องติดคุกนานถึง 22 เดือน

เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี ต้นไม้ผลัดใบ จอร์แดน เบลฟอร์ท เปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง และเลือกที่จะเดินหน้าสู่การทำธุรกิจสีขาว กระทั่งประสบความสำเร็จ และเปลี่ยนมุมมองจากจอร์แดน เบลฟอร์ท คนเก่าที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล มาเป็นเบลฟอร์ทคนที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม และมอบวิทยาทานจากประสบการณ์ตรงให้แก่นักลงทุนรุ่นใหม่

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้สำหรับผู้เขียนแล้วมองว่า ในเรื่องการที่จะประสบความสำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในที่นี้หมายถึงเรื่องความเสี่ยงด้านการลงทุน การที่นักลงทุนหรือนักธุรกิจสักคนหนึ่ง ขาดความกล้าที่จะเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งหากนักลงทุนคนนั้นๆ ไม่มีสิ่งนี้ ก็ยากที่จะร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจกล่าวได้ง่ายๆ ว่า ถ้าอยากจะยืนอยู่บนจุดสูงสุด คุณต้องกล้าและฉลาดที่จะเสี่ยง 

สำหรับความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากชีวิตอันโลดโผนของจอร์แดน เบลฟอร์ทแล้ว สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้ก็คือความเซ็กซี่ของมาร์โก ร็อบบี้ ที่เป็นเครื่องปรุงเติมรสชาติที่เผ็ดร้อนให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ 

Wall Street (เข้าฉายปี 1987) 

wallstreetWall StreetWall Street

ภาพยนตร์ Wall Street มีสองภาคครับ อีกภาคหนึ่งมีชื่อว่า Wall Street: Money Never Sleeps เข้าฉายในปี 2010 ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า ภาคสองมันไม่ค่อยจะสนุกสักเท่าไหร่ ซึ่งเห็นด้วยนะครับว่า เงินไม่เคยหลับ แต่คนดูนี่สิจะหลับแทน ดังนั้นจึงขอแนะนำเฉพาะในภาคแรกก็แล้วกันครับ

Wall Street ที่เข้าฉายในปี 1987 เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ดราม่าสายการเงิน ที่สะท้อนภาพของนักธุรกิจ และนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี ทั้งในมุมของการเป็นนักลงทุนที่ดี นักลงทุนที่แย่ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นักลงทุนที่แย่ใช้กระบวนการอะไรทำทุจริต การหลอกลวง ฉ้อฉล เพื่อนำพาตัวเองเข้าไปสู่สิ่งที่เรียกว่าอำนาจและเงินตรา

สิ่งที่เราจะได้เห็นจากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือหากคุณเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนก็ควรดูไว้ เผื่อในอนาคตคุณอาจต้องเจอใครสักคนที่พร้อมจะหักหลัง พร้อมโกงคุณ ซึ่งเกร็ดจากภาพยนตร์เรื่องนี้อาจเป็นแค่เกราะคุ้มกันบางๆ ให้กับคุณได้รู้ว่า โลกธุรกิจ โลกการเงิน มันไม่ได้มีแค่สีขาว แต่มันยังมีสีเทา และสีดำที่พร้อมขย้ำใส่เหยื่อที่ไร้เดียงสา

สำหรับภาพยนตร์ Wall Street เป็นผลงานกำกับของโอลิเวอร์ สโตน ผู้กำกับที่สามารถตีแผ่มุมมองเกี่ยวกับการเมือง และสะท้อนสภาพสังคมอเมริกันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนักแสดงนำของเรื่องเป็นถึงไมเคิล ดักลาส และชาร์ลี ชีน ซึ่ง Wall Street เรื่องเดียวกันนี้แหละ เป็นภาพยนตร์ที่ส่งให้ไมเคิล ดักลาส กลายเป็นนักแสดงนำชายแห่งปีบนเวทีออสการ์ในปีนั้น 

Food Inc. (เข้าฉายปี 2008) 

foodFood Inc.Food Inc.

สำหรับเรื่องนี้อาจไม่ใช่ภาพยนตร์แต่เป็นสารคดีที่เล่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร ที่ถูกยึดครองโดยนายทุนที่ส่งผลให้มีการลดทอนคุณภาพในการเลี้ยงสัตว์ ทั้ง ไก่ วัว และหมู จนส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ และเจ็บป่วยเป็นโรคที่ยากต่อการรักษา

นอกจากนี้ในสารคดีเรื่องนี้ยังได้นำเสนอภาพของนายทุนที่อาศัยอิทธิพลและเส้นสาย เข้าไปมีอำนาจอยู่เบื้องหลังทางการเมืองในอเมริกา ส่งผลให้อาหารของประชากรโลกทุกวันนี้ ถูกยึดครองโดยนายทุนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือ ถ้าหากเราเป็นคนทำธุรกิจ เราจะหลงเหลือจริยธรรมในการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook