สภาพัฒน์ฯ เผยไทยหลุดพ้นประเทศยากจนแล้ว
สภาพัฒน์เผยเวิลด์แบงก์จัดไทยอยู่กลุ่มเริ่มหลุดพ้นจากความยากจนและกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่ง
รายงานการศึกษาของธนาคารโลก เรื่อง Inclusive Growth Report "Riding the Wave : An East Asian Miracle for the 21st Century" ระบุว่า ประเทศไทยจัดอยู่กลุ่มเดียวกับมาเลเซีย ซึ่งเริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่งแล้ว
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า รายงานจากธนาคารโลกฉบับนี้เป็นการเสนอโมเดลใหม่ในการแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่เน้นการเติบโตอย่างทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำ
รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาความยากจนมาตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยสามารถลดความยากจนได้อย่างต่อเนื่อง จำนวนประชากรที่อยู่ใกล้เส้นความยากจนจาก 11 ล้านคน ลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เหลือจำนวน 7 ล้านคน
แต่ทั้งนี้ยังมีประชากรฐานรากประมาณ 29 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของประชากร ต้องได้รับการดูแลด้วยการเพิ่มรายได้ ซึ่งประกอบด้วยเกษตรกร แรงงาน ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งรัฐบาลจะใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพิ่มรายได้ และเพิ่มการจ้างงาน ขณะเดียวกัน เพิ่มหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชน คู่ขนานกับการสนับสนุนให้ประชาชนออมเงินผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติรองรับผู้สูงอายุ
นายปรเมธี กล่าวว่า สศช.ยังได้พิจารณาตัวชี้วัดสถานการณ์ความยากจนในมิติอื่นที่มิได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงิน แต่สะท้อนการมีโอกาสทางสังคมและการเข้าถึงบริการของภาครัฐ มาร่วมในการวัดด้วย ได้แก่ "ดัชนีความก้าวหน้าคน" ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเข้าถึงโอกาสทางสังคมและการเข้าถึงบริการภาครัฐในด้านต่างๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม คมนาคมและการสื่อสาร เป็นต้น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความจนเงิน จนโอกาส และสภาพแวดล้อมการดำเนินชีวิต ในการจัดทำนโยบายในการแก้ปัญหาความยากจนและช่วยเหลือคนจน
ดังนั้น การจัดทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและการช่วยเหลือคนจน จึงใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกัน โดยเส้นความยากจนจะช่วยบ่งบอกความยากจนที่ว่า มีผู้ที่ยากจนเป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งรัฐบาลจะนำข้อมูลอื่นที่สะท้อนการดำรงชีพในมิติของการมีโอกาสและการเข้าถึงบริการของประชาชนมาพิจารณาประกอบด้วย
ขณะเดียวกันข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจะถูกนำมาใช้ประกอบเพื่อการระบุ ตรวจสอบ และติดตาม ในการที่จะออกแบบเครื่องมือการให้ความช่วยเหลือ (มาตรการ) ได้สอดคล้อง / ตรงกับลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่มาลงทะเบียน รวมทั้งสามารถสร้างการบริหารจัดการที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงกลุ่มได้ด้วย
สำหรับข้อเท็จจริงสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย ในปัจจุบันใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหาความยากจนในภาพรวมของประเทศไทยลดลงมาก โดยจำนวนคนจนได้ลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจำนวนผู้ยากจน 34.1 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคนในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เหลือเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559
เมื่อพิจารณารวม "คนจน" และ "ผู้ที่เกือบจน" พบว่ามีแนวโน้มลดลงมากจาก 39.2 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 11.6 ล้านคนในปี 2559 โดยความยากจนยังกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ มีสัดส่วนร้อยละ 12.96, 12.35 และ 9.83 ของประชากรในแต่ละภาคตามลำดับ และจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 10 ลำดับแรกในปี 2559 โดยเรียงลำดับจากสัดส่วนคนจนสูงที่สุดได้แก่ แม่ฮ่องสอน นราธิวาส ปัตตานี กาฬสินธุ์ นครพนม ชัยนาท ตาก บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ น่าน ตามลำดับ