5 เทรนด์การเงินที่น่าจับตามองในปี 2018

5 เทรนด์การเงินที่น่าจับตามองในปี 2018

5 เทรนด์การเงินที่น่าจับตามองในปี 2018
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปี 2017 ที่กำลังจะล่วงเลย ไปแล้วก็จริง แต่ถึงกระนั้นเทรนด์ต่างๆ ของโลกการเงินกำลังจะเกิดขึ้น โดยในปี 2018 ยังคงเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจับตามอง และน่าสนใจมากๆ เนื่องจากโลกการเงินกำลังจะถูก ‘Disrupt’ โดยเทคโนโลยี ทำให้สิ่งที่เราคุ้นเคยในวันนี้ อาจไม่มีอีกต่อไปแล้วในวันพรุ่งนี้

  • Digital Banking

dbiStockphotoปีหน้า Digital Banking มาแน่

ข่าวการปิดตัวลงของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยกว่า 200 สาขา น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่า แวดวงธนาคารกำลังถูกรุกคืบอย่างหนักด้วยเทคโนโลยี เนื่องจากผู้คนในยุคปัจจุบันแทบไม่เหลือความจำเป็นในการเข้าไปใช้บริการสาขาของธนาคารน้อยลง

ทั้งหมดนี้ Digital Banking ที่อยู่ในรูปแบบแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สามารถใช้งานฟังก์ชันธนาคารได้แบบเดียวกับการให้บริการของธนาคารสาขาได้อย่างไร้รอยต่อ กอปรกับผู้คนในยุคปัจจุบันมีความคุ้นชินกับการทำธุรกรรมการเงินแบบดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว นั่นจึงทำให้ธนาคารสาขาจะเป็นสิ่งที่แปลกหูแปลกตาในอนาคตอันใกล้

  • เกิดความร่วมมือระหว่างธนาคารและกลุ่มฟินเทค (FINTECH) มากขึ้น

fintechiStockphotoฟินเทคและธนาคารจะร่วมมือกันมากขึ้น

เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘สตาร์ทอัป’ ไม่ได้ Disrupt วงการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่สตาร์ทอัปยังสามารถ Disrupt วงการอื่นๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ แวดวงการเงิน

การเกิดสตาร์ทอัปในกลุ่มแวดวงการเงินนั้น ถูกเรียกขานกันว่า ฟินเทค หรือย่อมาจากไฟแนนเชียล เทคโนโลยี ซึ่งหากพูดกันแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ฟินเทคนี่แหละ คือ สิ่งที่จะเข้ามาทำลายรากฐานเดิมของการธนาคารแบบที่เรารู้จักกันดี เนื่องจากสิ่งที่ธนาคารทั้งหมดทำได้ สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยฟินเทค อีกทั้งอัตราค่าบริการ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของฝั่งฟินเทค จะมีราคาค่างวดที่ถูกกว่ากันมาก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย ‘จะรู้ตัว’ ว่าฟินเทค สามารถทำลายล้างรากฐานเดิมของธุรกิจธนาคารได้ เราจึงมีโอกาสที่จะได้เห็นธุรกิจธนาคารเดิมเข้าไปถือหุ้น หรือให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มฟินเทค ซึ่งในท้ายที่สุดตรงนี้ก็อาจเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ลงตัวก็เป็นได้ เนื่องจากฝั่งธนาคารเองก็แสดงให้เห็นว่าปรับตัวเข้าหาโลกยุคดิจิทัลได้ทัน เช่นเดียวกันฝั่งฟินเทคเองก็จะได้รับความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ ที่มีพื้นฐานจากธุรกิจธนาคารดั้งเดิมเป็นคนการันตี

  • สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)

cashlesssocietyiStockphotoเงินสดจะค่อยๆ หายไป

เชื่อว่าประเด็นนี้เป็นสิ่งที่นักช็อปชาวไทย เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นว่า สังคมไร้เงินสดเป็นแนวโน้มที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงมากขึ้นทุกๆ วัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟน หรือมีความเข้าใจเทคโนโลยีเป็นอย่างดีว่า สังคมไร้เงินสดกำลังจะมาเป็นเทรนด์หลักของการ ‘จับจ่ายใช้เงิน’ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบการสั่งสินค้าออนไลน์ ที่จะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

พร้อมกันนี้การสนับสนุนของรัฐบาล ที่ผลักดันนโยบาย ‘PromptPay’ ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่า แม้แต่ภาครัฐบาลยังเล็งเห็นว่า สังคมไร้เงินสดเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน และน่าผลักดันให้เกิดขึ้นจริง

สำหรับหลายคนที่สงสัยว่า สังคมไร้เงินสดมันดีอย่างไร สามารถสรุปให้เข้าใจอย่างง่าย นั่นคือ การลดการใช้เงินสดจะส่งผลในด้านความสะดวกสบายของคนทั่วไป ทำให้ไม่จำเป็นต้องพกพาเงินสดมากมาย อีกทั้งยังมีความปลอดภัยจากการถูกฉกชิงวิ่งราวซึ่งหน้า

นอกเหนือจากนี้ การงดใช้เงินสด ยังเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการต่อต้านคอร์รัปชันและการเลี่ยงภาษีได้เช่นกัน รวมถึงยังช่วยลดงบประมาณในการจัดพิมพ์ธนบัตร ซึ่งการจัดพิมพ์ธนบัตรสักครั้งหนึ่ง ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนไม่น้อย นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศสนับสนุนการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เราไม่อาจมองแต่ด้านดีที่สวยงามได้เพียงอย่างเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้ว สังคมไร้เงินสดก็ยังมีข้อเสียที่ต้องระวังเช่นกัน นั่นคือการฉ้อโกง ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง ต้องออกแบบการป้องกันเพื่อลดช่องโหว่ให้เกิดการฉ้อโกงน้อยที่สุด

bitcoiniStockphotoบิตคอยน์ ยังอยู่ในกระแส

การที่สกุลเงินดิจิทัลยอดนิยมอย่างบิตคอยน์ ที่ในปี 2017 ทำสถิติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเชื่อได้ว่าในปี 2018 บิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลจะยังคงเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มีความสำคัญในแวดวงการเงิน

ทั้งนี้ตลาดฟิวเจอร์ส ในต่างประเทศเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ จะมีแนวโน้มถีบตัวสูงขึ้นต่อไป และจะยังคงมีนักลงทุนที่สนใจเข้ามาระดมทุนซื้อบิตคอยน์ทั้งในส่วนที่เก็งกำไร และต้องการถือครองเพื่อดูทิศทางความเป็นไปในอนาคตของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลาย

อย่างไรก็ดี ในปี 2018 บิตคอยน์และทุกสกุลเงินดิจิทัล ก็จะถูกตั้งเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของ ‘ฟองสบู่’ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว เราก็คงไม่มีวันทราบหรอกครับว่า สกุลเงินดิจิทัลต้องมีมูลค่าเท่าใดถึงจะเรียกว่าฟองสบู่ เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัล เรามีข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์น้อยมากๆ เรียกว่าถ้าจะเข้าลงทุนสกุลเงินดิจิทัลในชั่วโมงนี้ นอกจากจะต้องมีเงินแล้ว ยังต้อง ‘ใจถึง’ อีกด้วย

  • แวดวงการเงินก็มี Machine Learning

machinelearningiStockphotoแวดวงการเงินก็มี Machine Learning

เทรนด์ที่น่าจับตามองอย่างสุดท้าย นั่นคือ เรื่องของ Machine Learning แน่นอนที่สุดถ้าหากคุณติดตามแวดวงเทคโนโลยี หรือสมาร์ทโฟน ก็คงทราบดีกันว่า สองแวดวงนี้มีการพูดถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในปี 2017 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ แอปเปิล ซัมซุง และหัวเว่ย เริ่มมีการนำ Machine Learning บรรจุลงในสมาร์ทโฟนของตัวเอง

อย่างไรก็ตามเรื่องราวของ Machine Learning ไม่ได้ถูกขังกรอบไว้เฉพาะโลกเทคโนโลยีและสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่กลับปรากฏตัวขึ้นในแวดวงการเงินอีกด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งนำ Machine Learning เข้ามาใช้ในการคำนวณ จัดสรร เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุนแก่นักลงทุน โดย Machine Learning จะประเมินจากเงื่อนไขและความพร้อมของนักลงทุนรายนั้นๆ จนสามารถสร้างการลงทุนที่เหมาะสมแก่นักลงทุนเป็นรายบุคคล

สรุป

ในปี 2018 ที่กำลังจะมาถึง เป็นปีที่สะท้อนให้เห็นว่า ดิจิทัลทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญในแวดวงการเงิน ทั้งจากโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ไปจนถึงผู้ใช้บริการเอง เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง แต่ดูเหมือนว่า ฝ่ายธุรกิจธนาคารดั้งเดิม ก็ดูจะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook