ภาวะโลกร้อนอาจเป็นจุดจบไลฟ์สไตล์การดื่มกาแฟ
ภาวะโลกร้อนหรือปรากฏการณ์เรือนกระจก เราคงทราบกันดีว่า นี่คือ ปรากฏการณ์ที่จะทำให้โลกของเรามีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เกิดความร้อนเข้ามาปกคลุม ทำให้การอาศัยอยู่บนโลกเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้วภาวะโลกร้อนไม่ได้ส่งผลร้ายเพียงแค่นั้น แต่กลับมีผลถึงพืชพันธุ์จำนวนมากที่มีโอกาสสุ่มเสี่ยงสูญพันธุ์ โดยหนึ่งในนั้นรวมถึงกาแฟ สัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันและเครื่องดื่มแก้ง่วงของคนทำงาน
คนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำก็คงทราบกันดีว่า เมล็ดกาแฟที่ถูกนำมาเป็นเครื่องดื่มมีสายพันธุ์ยอดนิยมได้แก่ โรบัสต้าและอาราบิก้า ซึ่งนักดื่มกาแฟตัวยงมักเทใจให้กับกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้ามากกว่าโรบัสต้า เนื่องจากอาราบิก้าเป็นกาแฟที่มีรสชาติดี มีความนุ่ม ผู้ดื่มด่ำกับกาแฟชนิดนี้จะได้กลิ่นที่หอมละมุน แต่ปัญหาของอาราบิก้าโดยปกตินั้น เป็นพันธุ์กาแฟที่มีความอ่อนไหวต่อโรค Coffee Rust และภาวะโลกร้อนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ 'เร่ง' ให้เมล็ดพันธุ์กาแฟอาราบิก้าประสบกับโรคดังกล่าว ซึ่งนั่นจะทำให้คุณภาพของกาแฟด้อยลง
ขณะเดียวกันการเกิดภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปริมาณฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล สภาพอากาศเกิดความไม่แน่นอนส่งผลต่อความชุ่มชื้นของสภาพดินที่ใช้ในการเพาะปลูกไม่เหมาะที่จะใช้ปลูกกาแฟได้อีกต่อไป โดยประเทศที่มีการปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจหลักทั้งเอธิโอเปียและบราซิลจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
นอกเหนือจากนี้ผลวิจัยล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ระบุว่า ปัญหาของกาแฟไม่ได้มีแค่ตัวอย่างข้างต้นเท่านั้น ปัญหาของภาวะโลกร้อนยังทำให้ 'ผึ้ง' ซึ่งเป็นหนึ่งในกลจักรสำคัญของการปลูกกาแฟได้รับผลกระทบด้วย
งานวิจัยบอกว่า ถ้าหากการปลูกกาแฟของมนุษย์ขาดผึ้งจะไม่เกิดการผสมเกสรระหว่างผึ้งและต้นกาแฟ ทำให้การเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ความอุดมสมบูรณ์ของต้นกาแฟก็จะไม่มี ที่ร้ายไปกว่านั้นการขาดหายไปของ 'ผึ้ง' ไม่ได้ส่งผลแค่การเพาะปลูกกาแฟเท่านั้น แม้แต่อาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ อีกด้วย เช่น องุ่นพันธุ์ดีสำหรับผลิตไวน์, ช็อกโกแลต และเมเปิลไซรัป ก็จะมีอาการน่าเป็นห่วงไม่ต่างกับกาแฟ
อย่างไรก็ตามปัญหาการสูญพันธุ์ของกาแฟไม่ได้ส่งผลกระทบต่อในแง่คนดื่มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเรามองให้กว้างขึ้นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ คือ กลุ่มเกษตรกร ชาวสวน ที่ประกอบอาชีพเพาะปลูกเมล็ดกาแฟ กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่ประสบปัญหาตัวจริงเสียงจริง เมื่อคุณภาพกาแฟด้อยลง การเพาะปลูกทำได้ยากขึ้น ยิ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ย่ำแย่ลงถึงขีดสุด
ทางแก้ไขในเรื่องนี้คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และย้ายพื้นที่การปลูกกาแฟ ซึ่งดูเหมือนง่ายแต่เอาเข้าจริงแล้วยากมาก เพราะนั่นหมายความว่า เกษตรกรจะต้องย้ายพำนักถิ่นฐาน พร้อมกับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปปลูกกาแฟบริเวณที่ราบสูงระดับ 1,200-2,200 เหนือระดับน้ำทะเล คำถามคือจะมีใครอยากย้ายไปปลูกกาแฟบนพื้นที่นั้นจริงๆ หรือไม่ และต้องไม่ลืมว่า เกษตรกรจะต้องลงทุนขั้นต้นเพื่อเตรียมความพร้อมในการปลูกกาแฟเองอีกด้วย
สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับของเครื่องดื่มชนิดนี้ ชื่นชอบในกลิ่น รสสัมผัสที่ชวนพิศวง และการดื่มด่ำในรสกาแฟ คงถึงคราวแล้วที่จะต้องตระหนักถึงปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน มิเช่นนั้นวันที่เราจะไม่มีกาแฟบริโภคมันมาเยือนเราอย่างแน่นอน