"รีไฟแนนซ์" เทคนิคประหยัดดอกเบี้ย คุณค่าที่คนผ่อนบ้านคู่ควร

"รีไฟแนนซ์" เทคนิคประหยัดดอกเบี้ย คุณค่าที่คนผ่อนบ้านคู่ควร

"รีไฟแนนซ์" เทคนิคประหยัดดอกเบี้ย คุณค่าที่คนผ่อนบ้านคู่ควร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สินเชื่อรีไฟแนนซ์ คือ ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นเงินผ่อน เพราะการเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ยืมเพื่อลดอัตราดอกเบี้ย จะช่วยแบ่งเบาภาระ ลดค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ในระดับหนึ่ง แถมยังมีโอกาสผ่อนหนี้หมดเร็วขึ้นอีกด้วย

ซึ่งการรีไฟแนนซ์บ้านหรือที่อยู่อาศัยอื่น ๆ สามารถทำได้ทุก ๆ 3 - 5 ปี ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำเอาไว้ และโดยปกติดอกเบี้ยจ่ายในสัญญาช่วง 3 ปีแรก จะถูกกว่าปีต่อ ๆ ไป ทำให้หลายคนนิยมทำรีไฟแนนซ์ทุก ๆ 3 ปี เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง

ถ้าใครสนใจ ก็สามารถหารายละเอียดสินเชื่อรีไฟแนนซ์ของธนาคารต่าง ๆ ได้ตามหน้าเว็บไซต์ของแต่ละแบงก์เลย...

แต่! เราจะรู้ได้ยังไงว่า...สินเชื่อรีไฟแนนซ์ของที่ไหนทำแล้วคุ้มค่าและเหมาะสมกับเราที่สุด? 

 

วิธีสังเกตว่าทำรีไฟแนนซ์กับธนาคารไหนดีที่สุด ให้ทุกคนลองมองและเปรียบเทียบปัจจัยต่าง ๆ 4 ข้อ ดังนี้…

 

1. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของ 3 ปีแรก

อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เป็นสิ่งที่สำคัญ ย้ำอีกรอบว่า… “สำคัญ!!!”

โดยเฉพาะ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปีแรก เนื่องจากปีต่อ ๆ ไป อัตราดอกเบี้ยมักจะแพงขึ้น และหลายคนก็มักจะมองหาแหล่งเงินกู้ใหม่ทุก 3 ปี

ลองดูว่าอัตราดอกเบี้ยใน 3 ปีแรก มีทางเลือกไหนที่น่าสนใจบ้าง จากนั้นก็นำอัตราดอกเบี้ย 3 ปี ที่หามาได้บวกกันแล้วเฉลี่ย 3 ปี ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ที่แต่ละธนาคารเสนอให้

ซึ่งคำศัพท์สำคัญที่คนผ่อนบ้านต้องรู้เลย ก็คือ อัตราดอกเบี้ย “MLR (Minimum Loan Rate)” และ “MRR (Minimum Retail Rate)” โดยแต่ละธนาคารจะใช้อัตราดอกเบี้ยข้างต้นไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเราคือไปหาว่าอัตรา MRR และ MLR ของแต่ละแห่งอยู่ที่เท่าไหร่? และอัตราดอกเบี้ยที่แต่ละทางเลือกแจ้งมาเป็นแบบไหน?

ดังนั้นถ้าเราสามารถหาแหล่งเงินกู้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ที่ดูเข้าท่า (อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าที่เดิมเยอะ ๆ) ก็ควรคัดเข้ามาไว้ใน Watch List ไว้ก่อน เพื่อที่เราจะทำการเปรียบเทียบปัจจัยอื่นต่อไป

 

2. ค่าใช้จ่ายที่ลดลงในแต่ละเดือน

ค่าใช้จ่ายที่ลดลงในแต่ละเดือนในช่วง 3 ปีแรก เป็นสาเหตุสำคัญอีกข้อ ที่ทำให้หลายคนสนใจทำรีไฟแนนซ์กันมากขึ้น เพราะการรีไฟแนนซ์จะช่วยให้ประหยัดเงินในเรื่องนี้ไปได้บางส่วน

ลองให้ทางธนาคารที่เราติดต่ออยู่คำนวณยอดชำระต่อเดือนมาให้ เพื่อพิจารณาว่าธนาคารไหนจะช่วยเราลดภาระในส่วนนี้ได้มากที่สุด ถ้าได้ยอดชำระที่ถูกใจเรียบร้อยแล้ว ก็คัดทางเลือกนั้นเข้ามาไว้ใน Watch List ได้เลย

ถ้าเราประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เราก็จะมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น สามารถเอาไปลงทุนต่อได้อีก เราอาจจะได้ทั้งการลดค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

 

3. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ

แน่นอนว่าการทำธุรกรรมรีไฟแนนซ์กับธนาคารทุกแห่ง ต้องมี “ค่าธรรมเนียม” และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ซึ่งทางเลือกแต่ละทางก็จะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไป

โดยค่าใช้จ่ายสำคัญที่มักจะพบเจออยู่บ่อย ๆ จะประกอบไปด้วย ค่าจดจำนอง (1% ของวงเงินกู้), ค่าประเมินราคา, ค่าธรรมเนียมจัดการสินเชื่อ, ค่าอากรแสตมป์ (0.05% ของวงเงินกู้), ค่าประกันอัคคีภัย เป็นต้น ซึ่งบางแห่งก็จะยกเว้นค่าใช้จ่ายบางตัวให้ บางแห่งก็ให้ผู้กู้เป็นคนออกเต็ม ๆ

ยิ่งไปกว่านั้นบางที่ก็จะมี “ค่าประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ” ให้ซื้อควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารว่า ทางผู้กู้จะมีเงินมาชดใช้หนี้ให้ได้ทั้งหมด หากว่าระหว่างทางที่ผ่อนชำระ ผู้กู้เสียชีวิตหรือเป็นอะไรขึ้นมา จนไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ ทางธนาคารก็จะได้เงินที่คุ้มครองสินเชื่ออยู่อย่างแน่นอน

โดยส่วนมาก ธนาคารจะยื่นข้อเสนอที่ลดอัตราดอกเบี้ยให้ หากว่ามีการซื้อประกันชีวิตพร้อมกับการทำรีไฟแนนซ์ ทั้งนี้ ก็เป็นหน้าที่ของเราเองแล้ว ที่จะต้องพิจารณาดูว่าเงินที่สามารถลดไปได้ กับเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละปีมันคุ้มค่ากันหรือไม่

 

4. จำนวนเงินที่ประหยัดได้

3 ข้อแรกว่าสำคัญแล้ว แต่สุดท้าย..ก็ต้องมาได้ข้อสรุปที่ข้อนี้กันทุกคนนั่นแหละ

เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำรีไฟแนนซ์ ก็คือ “จำนวนเงินทั้งหมดที่สามารถประหยัดได้ในช่วง 3 ปีแรก

โดยส่วนมากแล้ว ถ้าทางเลือกไหนให้อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุด ก็มีโอกาสที่จะช่วยให้เราประหยัดได้มากที่สุด แต่ถ้าโดนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือต้องทำประกันชีวิตควบคู่กับวงเงินเพิ่มเข้ามา ก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ประหยัดมากที่สุดก็ได้ ทางเลือกอื่นอาจจะน่าสนใจกว่าด้วยซ้ำไป

ดังนั้น ต่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกที่สุด หรือได้ยอดผ่อนชำระรายเดือนที่น้อยที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป ต้องพิจารณาองค์ประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วตัดสินใจเลือกทางที่จะช่วยให้เรา “ประหยัดเงินได้” ในช่วง 3 ปีแรก ถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 

เมื่อทุกคนรู้ถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรสังเกต เพื่อที่จะทำรีไฟแนนซ์ให้คุ้มค่ามากที่สุดแล้ว ก็สามารถขอรายละเอียดทางเลือกต่าง ๆ จากธนาคารได้โดยตรง หรือจะลองคำนวณด้วยตัวเองดูคร่าว ๆ โดยใช้ข้อมูลต่าง ๆ จากหน้าเว็บไซต์ของธนาคารได้เช่นกัน

แต่ขอย้ำอีกทีว่า “รีไฟแนนซ์” เป็นวิธีประหยัดเงิน ประหยัดเวลา และแบ่งเบาภาระทางการเงินได้ดีที่สุดทางหนึ่ง เป็นคุณค่าที่ (คนผ่อนบ้าน) ทุกคนคู่ควรจริง ๆ !!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook