ตลาดเงิน-ตลาดทุนทั่วโลกป่วน ผวาสงครามการค้า 'สหรัฐ-จีน'

ตลาดเงิน-ตลาดทุนทั่วโลกป่วน ผวาสงครามการค้า 'สหรัฐ-จีน'

ตลาดเงิน-ตลาดทุนทั่วโลกป่วน ผวาสงครามการค้า 'สหรัฐ-จีน'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หุ้นดาวโจนส์ถล่ม 420 จุดเมื่อวันพฤหัสฯ เหตุข่าวสหรัฐตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กจากจีน 25% และยังจะเรียกเก็บภาษีอีก 10% จากการนำเข้าอลูมิเนียม ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน หวั่นสงครามการค้ากับจีนขยายวงเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากจีนในครั้งนี้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐให้สามารถกลับมาพลิกฟื้นได้อีกครั้ง

โดยที่การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางการประชุมร่วมกันกับกลุ่มผู้บริหารธุรกิจที่ทำเนียบขาว รวมถึงผู้บริหารของยูเอส สตีล คอร์ป และเซ็นจูรี อลูมิเนียม เมื่อวันพฤหัสฯ

แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนถึงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากประเทศใดบ้าง และจะดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นเวลานานเท่าใด แต่ตลาดคาดการณ์ว่าเป้าหมายจะอยู่ทีจีน ส่งผลให้นักลงทุนหวั่นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะขยายในวงกว้างมากขึ้น

ขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้รับผลกระทบโดยตรง จนดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยที่ดาวโจนส์ปิดที่ 24,608 ในวันพฤหัสฯ ดิ่งลง 420.22 จุด หรือ 1.68% ทั้งนี้ดาวโจนส์ดิ่งลง 3 วันติดต่อกันถึง 1,100 จุด หรือราว 4% ส่วนดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,677 ร่วงลง 36.16 จุด หรือ 1.33% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,180 ร่วงลง 92.45 จุด หรือ 1.27%

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยเฉพาะเจาะจงกับจีน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 11 เนื่องจากประเทศที่สหรัฐมีการนำเข้าเหล็กอันดับต้น ๆ มาจากแคนาดา เม็กซิโก เกาหลีใต้ บราซิล และรัสเซีย โดยเป็นการนำเข้าจากแคนาดาสูงถึง 26% ส่วนที่นำเข้าจากจีนมีเพียง 2% เท่านั้น

ขณะเดียวกันสหรัฐอาจจะประสบกับปัญหาการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าถั่วเหลืองที่จะกระทบถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูก เพราะจีนเป็นตลาดใหญที่มีการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐ

นอกเหนือจากกระแสข่าวการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากจีนที่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีทแล้ว ยังมีอีกหนึ่งกระแสข่าวจากการที่ Christin Lagarde กรรมการผู้อำนวยการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมากล่าวเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเกิดความเสี่ยงของภาวะการขยายตัวที่ร้อนแรงมากเกินไป หรือ Overheat จากผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบของมาตรการปรับลดภาษีทั้งระบบในระยะใกล้นี้ รวมทั้งปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั้งระบบ

ทั้งนี้ ผลจากการลดภาษีที่เกิดขึ้น ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1.2% ในช่วง 3 ปีนี้ไปจนถึงปี 2020 และจะส่งผลต่อการค้าโลกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยด้วย

ไอเอ็มเอฟเตือนถึงความกดดันที่มีต่อเงินเฟ้อ โดยเฉพาะมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปรับลดลงจาก 35% มาอยู่ที่ 21% ควรมีความชัดเจนว่าจะเกิดประสิทธิภาพต่อภาคธุรกิจ

และเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า จะเกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ พร้อมแนะให้ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินอย่างฉับพลัน จากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่เร็วกว่าคาดการณ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook