หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
กลยุทธ์วันนี้ Buy on Dip ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบกว้างระหว่าง 1115-1135 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเพียง 26,289 ล้านบาท ปิดบวกเพียง 0.58 จุด มาอยู่ที่ 1118.53 จุด เมื่อการประมูลพันธบัตรสเปนต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,724 ล้านบาท ขณะที่ SET50 Futures กลับมา Long สุทธิหนาแน่นถึง 1,379 สัญญา พร้อมกับการซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 7 มากถึง 7,153 ล้านบาท MBKET กลับมามีมุมมองเป็นกลางถึงบวกต่อการลงทุนอีกครั้ง หลัง ธนาคารกลางจีน ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า ตัวเลขผลผลิตภาคอุตฯ และยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ของจีนที่จะมีการรายงานในวันพรุ่งนี้จะส่งสัญญาณลบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้ PBOC จำเป็นต้องใช้มาตรการผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่การปราศรัยของประธานเฟดคืนวานนี้ ออกมาเป็นกลางไม่ส่งสัญญาณด้านใดด้านหนึ่งต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้ง QE#3 หรือ การยืดระยะเวลา Operation Twist ทำให้นักลงทุนทั่วโลกผิดหวังไปบ้าง แต่เมื่อประเมินร่วมกับการลดอัตราดอกเบี้ยของ PBOC ย่อมทำให้ภาพรวมของการลงทุนเป็นบวกมากขึ้นจากช่วงก่อน ตามความเห็นของ MBKET ดังนั้น MBKET แนะนำให้นักลงทุนกลับมาสะสมหุ้นหลักอีกครั้ง เพื่อรอขายบริเวณ 1,150-1,200 จุด มุ่งเน้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีอีกครั้ง พร้อมกับหุ้น High Beta ปัจจัยสำคัญ: การปราศรัยของอดีตประธาน ECB คืนนี้ และตัวเลขเศรษฐกิจจีนในวันพรุ่งนี้ กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “เพิ่มน้ำหนักพอร์ตเป็น 50% จากเดิม 40%” และ “ทยอยสะสม” KK / PTTGC กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ “พอร์ตถือ Long จะปิดความเสี่ยงท้ายสัปดาห์ รอทำกำไรตามแนวต้าน 778-780 จุด” Stop loss< 765 จุด “หากเป็นพอร์ตว่างแนะเปิด Short ช่วงดีดเพื่อลดความเสี่ยงเป็นระยะ” Stop loss>785 จุด Portfolio HOLD: VNT/ KSL/ TTCL/CPF/ AP/ PS/ SMIT/UMI/ SAT / AMATA/ TUF/ TVO/ PHATRA/ MAJOR/ BAY/ TCAP/ CPN/ BWG/ INTUCH/ QH Accumulative Buy: KK/ PTTGC Technical View แนวรับ 1110-1115 จุด และ 1095-1100 จุด แนวต้าน 1120-1125 จุด และ 1135 จุด ตลาดมีสิทธิถอยลงทดสอบแนวจุดต่ำเดิมและมีโอกาสทำจุดต่ำใหม่ การดีดตัวเป็นเพียงการดีดตัวระยะสั้น Action and Stock of the Day SET INDEX วานนี้แกว่งตัวในกรอบกว้าง ตลาดหุ้นรอบเอเชียวานนี้ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ต่อมุมมองเชิงบวกที่ FED อาจพิจารณาออกโครงการ QE#3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรด้านบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และตลาดหุ้นไทยกลับแกว่งตัวในกรอบกว้าง แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียจะเป็นบวก ผลการประมูลพันธบัตรสเปนจะตอบรับค่อนข้างดีในแง่ของ Bid-to-Offer Ratio แต่อัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายตลาดเข้ามาเหมือนวันก่อนหน้า ปิดตลาด SET INDEX บวกเพียง 0.58 จุด มาอยู่ที่ 1118.53 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพียง 26,289 ล้านบาท กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนโดดเด่นวานนี้ได้แก่ กลุ่มธนาคาร +1.38%, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ +1.33% และกลุ่มพลังงาน +0.46% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มปิโตรเคมี +0.33%, กลุ่ม ICT -1.99% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -0.13% คาด SET INDEX วันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบ แต่การย่อตัว อาจกลายเป็นโอกาสของการเข้าสะสมหุ้นหลักอีกครั้ง ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้ ตลาดหุ้นในเอเชียเช้าวันนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบ แม้ว่าธนาคารกลางจีนสร้างความประหลาดใจแก่นักลงทุนทั่วโลก ด้วยการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps เย็นวานนี้ กลายเป็นประเด็นเชิงบวกต่อเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงเก็งกำไรต่อสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน ถ่านหิน สินค้าเกษตร รวมถึงการขนส่งทางน้ำ ขณะที่จะเป็นลบต่อราคาทองคำ เพราะความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจดูผ่อนคลายลง แต่การผิดหวังจากคำปราศรัยของประธานเฟดคืนวานนี้ บวกกับตัวเลขดุลการค้าเดือนเม.ย.ของญี่ปุ่นขาดดุลมากกว่าคาด กลายเป็นปัจจัยกดดันภาวะการลงทุนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ แน่นอนว่า SET INDEX วันนี้คาดแกว่งตัวระหว่าง 1110 – 1130 จุด แม้ว่าจะมีประเด็นบวกจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน และเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่อีกครั้ง แต่บรรยากาศรอบเอเชียที่ไม่เอื้อนัก บวกกับ Friday Effect แต่การแกว่งตัวในกรอบแคบ และการย่อตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย กลายเป็นจังหวะของการกลับเข้าสะสมหุ้นหลักอีกครั้ง MBKET ปรับน้ำหนักการลงทุนขึ้นเป็น 50% จากเดิม 40% และถือเงินสด 50%” เพื่อเก็งกำไรไปรอขายทำกำไรบริเวณ 1150-1200 จุด หลังธนาคารกลางจีนตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps ซึ่งจะเป็นบวกต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง มากกว่าการลด Reserved Requirement Ratio (RRR) เอื้อต่อการเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก แม้ว่าประธานเฟดคืนวานนี้ คำปราศรัยจะไม่มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนในด้านใดด้านหนึ่ง อย่างที่ตลาดคาดหวังว่าจะมีการส่งสัญญาณบวกต่อ QE#3 ก็ตาม ทั้งนี้กลุ่มอุตสาหกรรม และหุ้นที่น่าสนใจต่อการเก็งกำไรรอบสั้นจากกรณีธนาคารกลางจีนครั้งนี้ได้แก่ 1. กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี: สร้างแรงเก็งกำไรต่อประเด็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน จะนำไปสู่การบริโภคน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมากยิ่งขึ้น หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ TOP / PTTGC ส่วน BANPU คาดว่าจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติ และสถาบันภายในประเทศกลับมาเก็งกำไรรอบนี้เช่นกัน หลังจากลดน้ำหนักการลงทุนมาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา 2. กลุ่มสินค้าเกษตร-เดินเรือ: หุ้นที่น่าสนใจเก็งกำไรต่อการบริโภคภายในประเทศของจีนจะฟื้นตัว ได้แก่ STA / TTA แม้ว่าในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนั้น ผลการดำเนินงานจะยังไม่ได้รับผลบวกจากกรณีนี้ก็ตาม แต่เป็นการเก็งกำไรบน Sentiment ดังกล่าว รวมถึง IVL ซึ่ง KELIVE ไม่ได้วิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน แต่ด้วยลักษณะของหุ้นที่เป็น High Beta และธุรกิจเชื่อมโยงกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ย่อมทำให้การฟื้นตัวกลับมีความโดดเด่นเช่นกัน 3. หุ้นขนาดใหญ่: MBKET ประเมินว่า เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกระลอก หลังจากที่ลดน้ำหนักการลงทุนมาตลอดเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยหุ้นที่น่าสนใจต่อการเก็งกำไรในประเด็นนี้ โดยมุ่งเน้นหุ้นที่เป็น High Beta หรือราคาหุ้นยังมี Upside Gain จากปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมากได้แก่ BAY / KK / AMATA / QH เป็นต้น 4. ลดน้ำหนักกลุ่ม Defensive อย่างกลุ่ม ICT และกลุ่มค้าปลีก: นับตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. ถึงวานนี้ ICT และกลุ่มค้าปลีก สร้างผลตอบแทน -6.1% และ -6.2% ตามลำดับ เทียบกับ SET INDEX 9.0% ดังนั้น การฟื้นตัวกลับของ SET INDEX และเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอีกระลอก กลุ่ม 2 กลุ่มนี้ย่อมได้รับประโยชน์จำกัด สำหรับประเด็นเสี่ยงในยุโรป ยังคงเป็นเงื่อนไขที่คงต้องเฝ้าระวังเช่นกัน โดยเฉพาะระบบสถาบันการเงินในสเปน ที่ยังไม่มีความชัดเจนต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งจากรัฐบาลสเปน หรือจากกลุ่มอียู ขณะที่สัปดาห์หน้า การเลือกตั้งกรีซจะมาถึง วันที่ 17 มิ.ย. อาจทำให้เกิด Pre-election Rally ได้เช่นกัน ย่อมเอื้อต่อการเก็งกำไรรอบสั้นระยะ 1-2 สัปดาห์อีกครั้ง พร้อมทั้งติดตามกรณียุโรป และทิศทางดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ปัจจัยสำคัญในวันนี้ 1. การปราศรัยของประธานเฟดคืนวานไม่มีความชัดเจน: เป็นไปตามที่ MBKET ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เพราะหากประเมินจากอดีตที่ผ่านมา การให้ความเห็นของประธานเฟด Bernanke ต่อมุมมองด้านเศรษฐกิจ และแนวโน้มนโยบายการเงิน จะออกมาเป็นกลางๆ ไม่ให้น้ำหนักด้านใดด้านหนึ่ง จนกว่าจะเข้าสู่การประชุม FOMC รอบถัดไปคือวันที่ 19-20 มิ.ย. นี้ แต่การเก็งกำไรของตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ต่อประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดความผิดหวัง 2. ตลาดหุ้นญี่ปุ่นลงเพราะการ Settlement ของ Futures และ Options: เป็นการ Settlement ของ Futures และ Options รายเดือน ซึ่งหมดอายุในวันนี้ ส่งผลกระทบต่อหลักทรัพย์อ้างอิงคือดัชนี Nikkei 3. ติดตามการปราศรัยของอดีตประธาน ECB: นาย Trichet จะให้คำปราศรัยที่อังกฤษ ในเวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งอาจมีความเห็นต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสถาบันการเงินของสเปน ปัญหาวิกฤติหนี้ในยุโรป รวมไปถึงแนวทางที่มีการนำเสนออย่าง Banking Union และ Euro bonds 4. คาดตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่จะรายงานวันพรุ่งนี้จะออกมาย่ำแย่: วันที่ 9 มิ.ย. จีนจะประกาศตัวเลข a. เงินเฟ้อเดือนพ.ค. Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 3.2% yoy จากเดือนก่อนหน้าที่ 3.4% b. ผลผลิตภาคอุตฯ เดือนพ.ค. Bloomberg Consensus คาดว่าจะขยายตัว 9.8% เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย.ที่ 9.3% yoy c. ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค. Bloomberg Consensus คาดว่าจะขยายตัว 14.2% yoy ใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า +14.1% yoy ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขข้างต้นจะออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลผลิตภาคอุตฯ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางของการชะลอตัว บวกกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำ ย่อมทำให้ ธนาคารกลางจีน สามารถพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ 5. คาดเงินทุนต่างชาติสะสมหุ้นไทยต่อเนื่อง: หลังนักลงทุนกลุ่มนี้ กลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย และ Long สุทธิใน SET50 Futures อย่างหนาแน่น ทำให้ยอด YTD ของนักลงทุนกลุ่มนี้ในส่วนของ SET50 Futures เป็น Short เหลือเพียง 6,987 สัญญา (สิ้นสุดวันที่ 7 มิ.ย.) หากนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงเร่ง Long สุทธิต่อเนื่อง ย่อมเป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมของ SET INDEX เช่นกัน กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ““ทยอยสะสม” ได้แก่ 1. KK : ราคาปิด 34.00 บาท ราคาเหมาะสม 41.00 บาท a) MBKET ประเมินว่าการควบรวมกิจการระหว่าง KK และ PHATRA ในช่วง 3Q55 จะช่วยสร้างแรงผนึก (Synergy) เพื่อเกื้อหนุนธุรกิจระหว่างกัน และส่งผลให้รูปแบบการให้บริการของ KK มีความหลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่ลูกค้าระดับล่าง – บน นอกจากนั้น PHATRA ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจวาณิชธนกิจ จะช่วยยกระดับให้ KK กลายเป็น Investment Bank เต็มตัว b) และส่งผลให้กำไรในช่วง 3 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงถึง 23% ต่อปี ทั้งจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจาก Funding Cost สายธุรกิจหลักทรัพย์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลบวกโดยตรงให้ ROE ขยายตัวต่อเนื่องจาก 11% ในปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 13% และ 15% ในปี 2556-2557 ตามลำดับ c) โดยคาดว่า KK จะเริ่มรวมงบของ PHATRA เข้าสู่งบการเงินรวมตั้งแต่ 3Q55 เป็นต้นไป ขณะที่ Swap Ratio อยู่ที่ 0.9135 หุ้น KK ต่อ 1 หุ้น PHATRA แม้ว่าจะเกิด Dilution Effect ราว 30.2% แต่จะกดดันกำไรเพียงแค่ช่วงสั้นเท่านั้น โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นของ KK จะลดลง -0.5% yoy ในปี 2555 แต่จะเริ่มขยายตัวอย่างชัดเจนและส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2556 เพิ่มขึ้นถึง +39% yoy เป็น 4,251 ล้านบาท d) ราคาหุ้นมี Valuation ที่ค่อนข้างถูก โดยซื้อขาย PBV 2555 เพียง 0.87 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 1.37 เท่า รวมทั้งให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 5.9% ในปี 2555 และ 7.4% ในปี 2556 และคาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะ re-rate ได้อย่างต่อเนื่องหลังเสร็จสิ้นการควบรวมกิจการกับ PHATRA 2. PTTGC : ราคาปิด 55.25 บาท ราคาเหมาะสม 78.00 บาท a) MBKET คาดว่า Downside Risk ของราคาน้ำมันดิบ NYMEX เริ่มจำกัดที่บริเวณ US$80.00/barrel หลังวานนี้จีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 3.25% เหนือความคาดหมายของตลาด b) และเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงถึง 20% ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เทียบกับ SET INDEX ที่ลดลง 9% ได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งการปรับสูตรค่าก๊าซระหว่าง PTT และ PTTGC ซึ่งยังมีความไม่แน่นอน และผลการดำเนินงาน 2Q55 ที่คาดว่าจะลดลงมาก qoq จากการเกิด Stock loss ตามการลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบ c) อย่างไรก็ตาม MBKET คาดว่าผลการดำเนินงานน่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ 3Q55 เป็นต้นไป จากเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะไม่ชะลอตัวลงแรง และภาพที่ชัดเจนของเศรษฐกิจยุโรป หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งกรีซในวันที่ 17 มิ.ย. และส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสูงขึ้น รวมทั้งการเกิด Restocking ของผู้ผลิตทั่วโลกอีกครั้ง จึงเชื่อว่าเป็นจังหวะในการ“ทยอยสะสม” เพื่อรอการฟื้นตัวของธุรกิจใน 2H55 What will DJIA move tonight? ปัจจัยสำคัญในคืนนี้ได้แก่ ยอดค้าส่ง และดุลการค้า Fund Flow Analysis Fund Flow in Emerging Markets ตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 7 วันทำการ US$363 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$96 ล้าน Short-Selling วานนี้ มูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เป็น 830 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 345 ล้าน Foreign Investors Action วานนี้ เงินทุนกลับมาสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการ 1,724 ล้านบาท จากตลอด 3 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 4,509 ล้านบาท เมื่อภาวการณ์เก็งกำไรในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่กลับมาเป็นบวกอีกครั้ง ทำให้เงินทุนต่างชาติกลับมาสะสมหุ้นไทย เพื่อบริหารพอร์ตการลงทุน SET50 Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิมากถึง 1,379 สัญญา เมื่อ S50M12 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็น 2.24 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 0.70 จุด ย่อมเอื้อต่อการเก็งกำไรผ่าน SET50 Futures ควบคู่ไปกับการกลับมาสะสมหุ้นไทยอีกครั้งของนักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับนักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 7 อีก 7,153 ล้านบาท รวม 7 วันทำการ ซื้อสุทธิ 45,497 ล้านบาท สอดคล้องกับภูมิภาคที่เงินทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้อย่างหนาแน่น และต่อเนื่อง NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 โดยกระจุกตัวกลุ่มธนาคารและ ICT การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิมากถึง 946 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า ซื้อสุทธิ 61 ล้านบาท ภาพรวมสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มธนาคารถูกกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง 562 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 181 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 105 ล้านบาท กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 124 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 173 ล้านบาท 2. ด้านกลุ่มโรงพยาบาลกลับถูกขายสุทธิสูงสุด แต่ก็เพียง 24 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ขายสุทธิ 20 ล้านบาท Strategist Team Maybank KimEng Mayuree Chowvikran, CISA Analyst 662-6586300 x 1440 Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450 Chaiyachoke Suwisuttangkul Economist 662-6586300 x 1540 Chatchai Jindarat Assistant Analyst 662-6586300 x 1401 โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 8 มิ.ย. 2555