เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น BEAUTY? ไขข้อสงสัยหลังราคาดิ่งแรง
BEAUTY เป็นผู้จำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ถือเป็นหุ้น 10 เด้งในตำนานที่มีการเติบโตติด ๆ กันไม่มีหยุด ทำให้ราคาหุ้นอยู่ในขาขึ้นรอบใหญ่มาโดยตลอด แต่ล่าสุดกลับเกิดเหตุการณ์ราคาดิ่งฮวบ คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับ BEAUTY ?
BEAUTY หรือ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว โดยขายตามร้านของตัวเองและยังมีขายตามช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นอีกด้วย โดยมีชื่อของตัวเองดังนี้ :
BEAUTY BUFFET, BEAUTY COTTAGE, BEAUTY MARKET, MADE IN NATURE และ BEAUTY PLAZA
ตลาดดูจะให้ความสนใจกับการเติบโตของ BEAUTY โดยงบลงทุนของ BEAUTY ต่อสาขาหนึ่งนั้นไม่ได้ใช้เงินเยอะ เลยทำให้ BEAUTY สามารถที่จะขยายสาขาในรูปแบบร้านของตัวเองได้อย่างรวดเร็วเรื่อยมา
ถ้าดูตามภาพ จำนวนสาขาของ BEAUTY นั้นได้เพิ่มจำนวนเกือบเท่าตัวในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการขยายสาขาที่ค่อนข้าง Aggressive มาก และเพราะการขยายสาขาที่มากขนาดนี้ ทำให้ BEAUTY ถูกจัดเป็นหุ้นเติบโตในสายตาของนักลงทุนหลายคน
ถ้ามาดูด้านรายได้และกำไรของ BEAUTY ถือว่าเป็นบริษัทที่เติบโตสูงมากจริงๆ อัตราการเติบโตของรายได้ (Top-Line) นั้นไม่เคยต่ำกว่า 25% เลย
2 ปีที่ผ่านมา รายได้โตเกิน 40% เสียด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมาก
ในด้านกำไรซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนดูและให้ความสำคัญมากนั้นก็มีการเติบโตที่น่าประทับใจมาก โดยเฉพาะปีที่ผ่านมาที่กำไรโตถึง 87.4%
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ BEAUTY ใช้ในการเติบโต คือการออกสินค้าใหม่เยอะมาก อย่างปีที่แล้วออกสินค้ากว่า 257 ชนิดสินค้า (SKU หรือ Stock Keeping Unit)
คำถามคือ BEAUTY ออกสินค้าออกมาเยอะแบบนี้ทำไม? และทำได้อย่างไร?
สาเหตุที่ BEAUTY ออกสินค้าเยอะขนาดนี้ เป็นเพราะธุรกิจเครื่องสำอางนั้นเป็น Fast Fashion หรือมีการเปลี่ยนเทรนด์ที่รวดเร็วมาก BEAUTY จึงต้องออกสินค้าใหม่มาเรื่อย ๆ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา และกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ BEAUTY สามารถออกสินค้าได้หลายรูปแบบขนาดนี้เป็นเพราะ BEAUTY ใช้วิธีการจ้างคนนอกผลิต (Outsource) สินค้าของตัวเองทั้งหมดเพราะการที่มีโรงงานของตัวเองเพียงโรงงานเดียวนั้นไม่สามารถที่จะผลิตสินค้าออกมาได้ดีทุกอย่างหมด
การ Outsource มีข้อดีอีกอย่างคือ ถ้าเทรนด์ของสินค้านั้นหายไป BEAUTY ก็แค่เลิกจ้างผลิตเท่านั้นเอง ไม่ต้องแบกรับค่าโรงงานเลย
ด้วยการขยายสาขาที่เยอะ รายได้และกำไรเติบโตไม่สะดุด อีกทั้งยังโตในอัตราที่สูงมาก ทำให้นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของ BEAUTY ไว้พอสมควรว่า ควรจะโตตลอด และโตมากๆ ส่งผลให้ ค่า PE ไม่เคยต่ำกว่า 40 เท่าเลยเพราะนักลงทุนเชื่อว่าการเติบโตจะโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ได้
แต่ในอาทิตย์ที่ผ่าน ๆ มานี้ ราคาของหุ้น BEAUTY มีการปรับลงอย่างมาก
หลังจาก นายสุวิน ไกรภูเบศ ผู้ถือหุ้นใหญ่และ CEO ของ BEAUTY ได้ออกมาแถลงว่า ไตรมาส 2 ผลงานของบริษัทพลาดเป้าไป ส่วนปีนี้ยังคงอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin หรือ NPM) ที่มากกว่า 20%
เรื่องนี้ทำให้นักลงทุนหลายคนแปลกใจและตกใจอย่างมากที่ BEAUTY จะคงอัตรากำไรสุทธิที่ 20% เพราะจริงๆ แล้ว นักลงทุนหวังอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่านี้มาก ถ้าเทียบปีที่แล้วคืออัตรากำไรสุทธิวิ่งทะลุ 30% มาแล้วด้วยซ้ำไป (คิดว่าในหัวนักลงทุน อัตรากำไรสุทธิ 20% เป็นเรื่องที่ไม่อยากได้ยินเลยด้วย) นอกจากนี้ BEAUTY ยังไม่เคยประสบปัญหาที่พลาดเป้าเลย แล้วดันมาพลาดตอนที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูง (Priced-In) ไปมากแล้วด้วย จากผลประกอบการที่ดีมากในปีที่แล้ว
จึงเป็นเหตุทำให้เกิดการเทขายหุ้น BEAUTY อย่างหนัก หนักขนาดที่ว่าลง 30% ภายในวันเดียว และยังลงต่อในอีกวันต่อมา
คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ที่ราคานี้ BEAUTY น่าซื้อหรือยัง? เหตุการณ์นี้เป็นการตกใจเกินเหตุของตลาดหรือไม่? แล้วเป็นโอกาสในการลงทุนหรือเปล่า?
คำตอบที่ดีที่สุด คงจะอยู่ที่ตัวนักลงทุนเองว่า พอใจที่ราคาเท่าไหร่ เพราะพื้นฐานไม่ได้สดใส เหมือนที่ตลาดคาดหวังไว้ในอดีตแล้ว ซึ่งก็สะท้อนผ่านราคาที่ลงมาแรง ทำให้ค่า PE ลดลง จะเห็นว่าถูกกว่าในอดีตมากพอสมควร
พอมาดูทางด้านปริมาณการซื้อขาย (Volume) ก็จะเห็นว่าหนาแน่นมาก ๆ แสดงให้เห็นถึงอาการตื่นตระหนกของนักลงทุน ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสีย สามารถรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจใช้โอกาสนี้พิจารณาเข้าซื้อ BEAUTY ในจังหวะ Panic Sell ที่มี Volume มากขนาดนี้
แต่ถ้าใครเป็นนักลงทุนสายเสี่ยงต่ำหรือ Conservative หน่อย ก็รอดูงบไตรมาส 2 ก่อนตัดสินใจได้ครับ ให้งบช่วยยืนยันอีกทีน่าจะช่วยให้สบายใจกว่า และดูธุรกิจว่าจะมีทิศทางอย่างไรกันแน่
ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยรอบด้าน วิเคราะห์ความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ให้ดี ก่อนตัดสินใจลงทุนครับ