“ปตท.” เผยครึ่งปีแรกกำไรสุทธิลดลง 9.9%
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2561 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 30,029 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.05 บาท ลดลง 4.11% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 31,316 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.07 บาท
เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ กำไรสุทธิลดลง 9,759 ล้านบาท หรือ 24.5% จากไตรมาส 1 ปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 39,788 ล้านบาท สาเหตุหลักจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการรับรู้ค่าใช้จ่ายทางภาษีของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จากัด (มหาชน) (PTTEP) และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นของเงินกู้สกุลต่างประเทศของปตท. และบริษัทในกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานปกติโดยรวมของไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากค่าการกลั่นทางบัญชี (Accounting GRM) ปรับสูงขึ้นจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติดีขึ้นโดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ และในส่วนของผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมดีขึ้นจากไตรมาสก่อนจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจน้ำมันปรับลดลงตามกำไรขั้นต้นของน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลที่ปรับลดลง
นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 69,817 ล้านบาท ลดลง 7,668 ล้านบาท หรือ 9.9% จาก 77,485 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 สาเหตุหลักจากในครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ปตท. มีรายได้จากเงินปันผลรับกองทุนรวม Energy and Petrochemical Index Fund (EPIF) แม้ว่าใน ครึ่งแรกปีนี้ ผลการดำเนินงานปกติโดยรวมจะยังดีอยู่ โดยกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นจาก Accounting GRM ที่สูงขึ้นจากกำไรสต๊อกน้ามันที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ามันดิบที่สูงขึ้น
รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นตามราคาขายและปริมาณขายที่สูงขึ้น ผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมปรับสูงขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทั้งในส่วนที่ ปตท. ดำเนินการเองและดำเนินการโดยบริษัทในกลุ่ม ปตท.
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งแรกของปีนี้ กลุ่ม ปตท. มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงและมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น