ลูกจ้างยิ้ม! “ประกันสังคม” เพิ่มเงินทดแทนลูกจ้าง 70%
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาการเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2561 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่ประกาศเป็นต้นไป
ซึ่งพระราชบัญญัติเงินทดแทนฉบับใหม่นี้ มีการปรับปรุงค่ารักษาและขยายความคุ้มครองให้ลูกจ้าง ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ ลูกจ้างได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น และนายจ้างได้รับความเป็นธรรม
โดยสาระสำคัญ คือ ได้มีการขยายความคุ้มครองแก่ลูกจ้างของส่วนราชการ ขยายความคุ้มครอง ให้ครอบคลุมถึงลูกจ้างซึ่งทำงานในองค์กรของนายจ้างที่มิได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อแสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ รวมถึงการออกกฎหมายบังคับใช้เกี่ยวกับขอบเขตการคุ้มครองลูกจ้างซึ่งได้รับการจ้างงานในประเทศ (Local staff) ของสถานเอกอัครราชทูต และองค์การระหว่างประเทศ เพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ภัยพิบัติ” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับความหมายหรือลักษณะของภัยพิบัติ ลดการจ่ายเงินเพิ่มตามกฎหมายในท้องที่ประสบ ภัยพิบัติตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มอัตราการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพกรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย หรือสูญหาย โดยออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อให้ลูกจ้างได้รับประโยชน์ ดังนี้ เพิ่มอัตราค่าทดแทนกรณีต่างๆ จาก 60% เป็น 70% ของค่าจ้างรายเดือน
เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้าง ทุพพลภาพเป็นไม่น้อยกว่า 15 ปี จากเดิมไม่เกิน 15 ปี เพิ่มระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้าง ถึงแก่ความตายหรือสูญหายมีกำหนด 10 ปี จากเดิมกำหนด 8 ปี อีกทั้งกำหนดการจ่ายค่าทดแทนสำหรับกรณีลูกจ้าง ไม่สามารถทำงานได้ให้ได้รับตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ จากเดิมจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้าง ไม่สามารถทำงานติดต่อกันเกิน 3 วัน
เพิ่มการจ่ายค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้าง ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง จากเดิมจ่ายค่าทำศพแก่ผู้จัดการศพของลูกจ้างเป็นจำนวน 100 เท่า ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
ส่วนนายจ้างก็จะได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติเงินทดแทนนี้เช่นกัน คือกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนฉบับใหม่นี้ ได้มีการปรับลดเงินเพิ่มตามกฎหมายจากเดิม 3% ต่อเดือน ลดลงเหลือ 2% ต่อเดือน และกำหนดเกณฑ์ การคำนวณเงินเพิ่ม กรณีนายจ้างค้างชำระเงินสมทบ โดยกำหนดให้จำนวนเงินเพิ่มต้องไม่เกินจำนวน เงินสมทบที่นายจ้างต้องจ่าย จากเดิมไม่ได้กำหนดเพดานเงินเพิ่มไว้ เป็นต้น
โดยพระราชบัญญัติเงินทดแทนฉบับดังกล่าว จะส่งผลให้ลูกจ้างมีหลักประกันของชีวิตดีขึ้น รวมถึงค่าทดแทนการขาดรายได้ และระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตในกรณีไม่สามารถทำงานได้ มีความจำเป็นต้องหยุดงาน และในส่วนของนายจ้างเองก็จะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราเงินเพิ่ม ส่งผลให้สถานภาพด้านการเงินของนายจ้างมีความมั่นคง