"กทม." เจรจา “บีทีเอส” ลดค่าโดยสารส่วนต่อ “แบริ่ง-สมุทรปราการ” เหลือ 21 บาทตลอดสาย
กทม.เจรจากับบีทีเอสถึงการปรับโครงสร้างค่าโดยสาร ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จาก 40 บาทเหลือ 21 บาทตรึงตลอดสายไม่เกิน 65 บาท เร่งชง กก.PPP เคาะเปิดประมูลพร้อมเจรจาตรง ยันต้องจบในพ.ย. ก่อนเปิดเดินรถ 5 ธันวาคม 2561 เล็งดึงต่อบางปู , ลำลูกกา ก่อสร้างเอง
นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการทดสอบระบบ รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12.8 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี และจะมีการทดสอบการเดินรถไฟฟ้าเสมือนจริง (Trail running) ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 เบื้องต้นกำหนดไว้ในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 โดยเปิดให้บริการฟรีไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ของระบบตั๋วโดยสารแล้วเสร็จ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
เนื่องจากระบบตั๋วจะเกี่ยวกับนโยบาย ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสาย รวมกับส่วนต่อขยาย แบริ่ง-สมุทรปราการ ไม่เกิน 65 บาท ภายใต้ Single Operation ค่าธรรมเนียมแรกเข้าไม่ซ้ำซ้อน โดยจะต้องพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม และการอุดหนุนของรัฐโดยกทม. (Subsidy)ซึ่งจะต้องเจรจาต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบัน สัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว มี 2 รูปแบบ คือ
- บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) เป็นผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระยะทาง 23 กิโลเมตร ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช (สายสุขุมวิท) อัตราโดยสาร 16-44 บาทต่อเที่ยว และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ- สะพานตากสิน (สายสีลม) เก็บอัตราโดยสาร 16-40 บาทต่อเที่ยว
- กรุงเทพธนาคมได้ว่าจ้าง BTSC เดินรถส่วนต่อขยายสะพานตากสิน-บางหว้า อัตราค่าโดยสาร 31 บาท และ ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง อัตราค่าโดยสาร 15 บาท โดยตามการศึกษา ส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ เก็บตามระยะทางค่าโดยสาร 40 บาท และต่อขยายช่วง หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต มีระยะทาง 7 กิโลเมตร หากเก็บตามระยะทางประมาณ 45 บาทต่อเที่ยว โดยรวมแล้วจะจ่ายค่าโดยสารรวมสุงสุด 144 บาทต่อเที่ยว
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาท จะปรับโครงสร้างค่าโดยสารช่วง อ่อนนุช-สมุทรปราการ ที่กำลังจะเปิดให้บริการ เป็น 21 บาท ซึ่งกทม.จะต้องอุดหนุน ส่วนนี้
โดยขณะนี้ ผู้ว่าฯกทม.ได้เสนอเรื่องการร่วมทุนรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 19 กม. และแบริ่ง-สมุทรปราการ 13 กิโลเมตร ตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ 2556 (PPP) ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว คาดว่าจะเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และคณะกรรมการPPP ได้ในเดือนตุลาคม 2561จากนั้นจะตั้งคณะกรรมการมาตรา 35 เพื่อพิจารณารูปแบบและแนวทางการเปิดประมูลใหม่หรือเจรจาตรง BTSC ก่อนรวมสัญญาสีเขียวเป็นสัมปทานเดียวตลอดสาย ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีก 4-6 เดือน
ในขณะเดียวกัน ผู้ว่าฯกทม.ได้เสนอร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในการรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และช่วงแบริ่ง–สมุทรปราการ พ.ศ. … ซึ่งผ่านสภากทม.แล้ว ต่อรมว.มหาดไทย ซึ่งคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เร็วๆนี้จากนั้นจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปคาดว่าในเดือนพฤศจิกายน 2561 จะเรียบร้อยและสามารถลงนามรับโอนหนี้กับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้ก่อนเกิดเดินรถในเดือนธันวาคม 2561
โดยเงินกู้ในร่างข้อบัญญัติหมายถึงเงินกู้ที่กรุงเทพมหานครกู้ยืมเงินจากกระทรวงการคลัง เป็นค่างานก่อสร้างงานโยธาวงเงินรวม 44,429 ล้านบาท และการชดใช้ค่าจัดกรรมสิทธิ์ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมเงินกู้ของค่างานโครงสร้างพื้นฐานที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อชำระไปแล้ว ในวงเงิน 7,356.37 ล้านบาท
เล็งดึงต่อบางปู,ลำลูกกา ก่อสร้างเอง
สำหรับสายสีเขียวใต้ส่วนต่อขยายจากสมุทราปราการร-บางปู ระยะทาง 9.2 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 7,994 ล้านบาท และสายสีเขียวเข้ม ช่วงคูคต-ลำลูกกา ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร กรอบวงเงิน 6,337 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองโครงการออกแบบและได้รับอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว จึงเป็นเส้นทางที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการก่อสร้าง นั้น ทางกทม.จะพิจารณาปริมาณผู้โดยสารหลังเปิดส่วนต่อขยายแรกก่อนสักระยะ จึงจะวางแผนที่จะต่อขยายในช่วงใด ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกจะขอรับมาดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่งานโยธา