“โกลเบล็ก” คาด "หุ้นไทย" แกว่งในกรอบ 1,650-1,800 จุด จับตาปัจจัยต่างประเทศทำป่วน
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561ว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศซึ่งยังเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาฉุดภาพรวมการลงทุน รวมถึงเรื่องสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ ซึ่งอาจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ในการประชุมเดือนธันวาคม และ Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากเงินที่อ่อนค่าลง
สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อจากนี้ น่าจะเป็นเรื่องการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ รวมถึงการกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7-8 พฤศจิกายนนี้ กำหนดประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. โดยคาดว่าที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม ซึ่งจะเกิดขึ้นวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ และการกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 18-19 ธันวาคม (นักวิเคราะห์คาดว่าที่ประชุมฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%) และในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ กำหนดประชุม กนง. โดยคาดว่าที่ประชุมอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากดัชนีเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแรงชนกรอบเป้าหมายที่ระดับ 1.25%
ส่วนปัจจัยในประเทศทางGBS มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ที่มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงความคืบหน้าในการเตรียมตัวของพรรคการเมือง ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยที่มีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง โดย Consensus คาดว่า GDP ปี 2561 อยู่ที่ระดับ 4.4-4.8% รวมถึงการเปิดประมูลโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และเม็ดเงินกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปีที่จะเข้ามาช่วยพยุงภาพรวมตลาดหุ้นไทย
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงสุดท้ายของปี 2561 ยังคงอยู่ในกรอบ 1,650-1,800 จุด พร้อมแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้น เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวจากภาวะตลาด เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในปลายปี ทำให้มีการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำ TMB, KKP และ KBANK พร้อมทั้งยังแนะนำหุ้น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากได้ประโยชน์จากการเร่งประมูลโครงการขนาดใหญ่ช่วยเติม backlog เช่น CK
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยได้ทำบทวิเคราะห์และประเมินผลภาพรวมผลการดำเนินงานหุ้นในกลุ่ม mai ประเมินผลประกอบการด้านกำไรที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น จึงแนะนำ หุ้น DOD ให้ราคา 17.50 บาท โดยคาดกำไรสุทธิ 2H61 เติบโตราว 200% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการมีลูกค้ารายใหม่ที่คาดจะเริ่มผลิตได้ในช่วงปลาย 3Q61, หุ้น XO ราคาเหมาะสม 13 บาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ 3Q61 จะปรับตัวขึ้นราว 2-3% สู่ระดับ 39-40% หนุนกำไรปี 2561 เติบโต 210%
หุ้น CHAYO ราคาเหมาะสม 4 บาท คาดกำไรสุทธิเติบโต 29%YoY จากการรับรู้รายได้กองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมีหลักประกันใน 2H61, หุ้น TACC ราคาเหมาะสม 5 บาท คาดว่ากำไรในช่วง 2H61 จะเริ่มทยอยเห็นการพลิกฟื้นจากฐานที่ต่ำใน 1H61 และพลิกกลับมาเติบโตได้ในปี 2562, หุ้นSSP ราคาเหมาะสม 11.20 คาดแนวโน้มกำไรสุทธิ 2H61 เติบโต 14% HoH จากโครงการที่เริ่ม COD ตั้งแต่ 1 ส.ค. และโครงการอื่นๆ จะทำได้ตามกำหนดการ มีบางโครงการเร็วกว่ากำหนด หุ้น JKN ราคาเหมาะสม 13.40 บาท กลยุทธ์มุ่งส่งออก Content ลูกค้า CLMV หนุนรายได้ส่งออกปี 2561 โตเกินเป้า 120 ล้านบาท และหุ้น AUCT ราคาเหมาะสม 8.25 บาท คาดยอดขาย 2H61 จะเร่งตัวขึ้นจาก 1H61 ตามปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับยอดขายรถใหม่ภายในประเทศปีนี้เติบโตดี