“Tesla” ทำกำไรหมื่นล้านไตรมาส 3 ครั้งแรกในรอบ 2 ปี

“Tesla” ทำกำไรหมื่นล้านไตรมาส 3 ครั้งแรกในรอบ 2 ปี

“Tesla” ทำกำไรหมื่นล้านไตรมาส 3 ครั้งแรกในรอบ 2 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลายปีมานี้ ผู้ผลิต EV ไฮเอนด์ ต้องเจอวิกฤตทางการเงินต่อเนื่องจนคาดกันว่าอาจถึงขั้นล้มละลาย แต่ อีลอน มัสค์ เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้บริษัทได้ภายในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปี 2018 ก็สยบข่าวลือดังกล่าวสำเร็จ ด้วยตัวเลขกำไรสุทธิ 312 ล้านดอลลาร์ หรือราว 10,296 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาหุ้นเมื่อปิดตลาดวันพุธที่ผ่านมา พุ่งขึ้นไปอยู่ที่หน่วยละ 320 ดอลลาร์ หรือราว 10,560 บาท คิดเป็น 12%

ส่วนรายได้ภาพรวมไตรมาสล่าสุดนี้อยู่ที่ 6,820 ล้านดอลลาร์ หรือราว 225,060 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ซึ่งมีรายได้ 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 132,000 ล้านบาท แต่หักลบแล้วไม่มีกำไร

การปิดไตรมาสที่ผ่านมาด้วยผลกำไรนับเป็นหนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่มีผลประกอบการเป็นบวก ซึ่งเป็นผลจากการเร่งเครื่องผลิตและจัดส่งรถรุ่นโมเดล 3 ให้ถึงมือผู้สั่งจองได้เป็นจำนวนมาก โดยสามารถจัดส่งรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้ถึง 83,500 คัน โดยเป็นโมเดล 3 อยู่ 55,840 คัน ในช่วงไตรมาสที่ 3 จากการเปิดเผยเมื่อ 2 ตุลาคม ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าไตรมาสที่ 2 ถึงสองเท่า

ผลประกอบการเป็นบวกในไตรมาสล่าสุด ยังทำให้บริษัทมีกระแสเงินสด (free cash flow) อยู่ที่ประมาณ 881 ล้านดอลลาร์ หรือราว 29,073 ล้านบาท เทียบกับจำนวนติดลบ 1,416 ล้านดอลลาร์ หรือราว 46,728 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันนี้ของปีก่อน ส่วนเงินสดรวม (total cash) เพิ่มขึ้น 731 ล้านดอลลาร์ หรือราว 24,123 ล้านบาท จนไปอยู่ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 99,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังนับเป็นข่าวดีว่าสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นเป็นลำดับ หากเทียบกับช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว ขาดทุนมากถึง 619 ล้านดอลลาร์ หรือราว 20,427 ล้านบาท

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น มัสค์ คาดการณ์ว่าโมเดล 3 จะมีศักยภาพเติบโตในตลาดได้มากกว่ารถซีดานระดับพรีเมียมของค่ายอื่นๆ อีกทั้งลูกค้าบางส่วนก็มีการขายรถที่ราคาถูกกว่าออกไปเพื่อหันมาซื้อโมเดล 3 ที่มีราคาเริ่มต้น 49,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านบาท

“ความสามารถในการทำกำไรของโมเดล 3 เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ธุรกิจของเรามีความยั่งยืน นี่คือสิ่งที่หลายคนบอกว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้”

ณ เวลานี้ การขายโมเดล 3 ยังคงจำกัดอยู่เพียงในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพียงเท่านั้น ซึ่งก็สามารถสร้างผลกำไรได้แล้วดังกล่าว แต่มัสค์ยืนยันว่าเป้าหมายระยะยาวของตนและบริษัทคือการขายโมเดล 3 ในตลาดโลก พร้อมกับเชื่อมั่นว่าระดับความต้องการของผู้บริโภคสำหรับรถรุ่นนี้ จะสูงถึงหลัก 5 แสน – 1 ล้านคัน ต่อปี

ประกาศลุยจีนปีหน้า, เปิดตัวรุ่นราคาประหยัด

ในจดหมาย ซีอีโอ Tesla ยังถือโอกาสเปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์รุ่นโมเดล 3 จะถูกดำเนินการในโรงงานใหม่ที่ประเทศจีน อย่างแน่นอนในปี 2019 และเตรียมจะเริ่มเปิดรับคำสั่งจองจากลูกค้าในจีน รวมถึงในประเทศต่างๆ ของทวีปยุโรป ก่อนสิ้นปีนี้

“เรามีเป้าหมายที่จะนำบางส่วนของการผลิตโมเดล 3 ไปยังประเทศจีนในช่วงปี 2019 และเพื่อเพิ่มระดับการจัดหาและการผลิตในท้องถิ่น การผลิตในประเทศจีนจะมีขึ้นเฉพาะสำหรับลูกค้าในท้องถิ่นเท่านั้น”

ส่วนการจัดส่งรถให้กับลูกค้าในแถบยุโรป จะเริ่มในช่วงต้นปี 2019 “ตลาดของรถซีดานพรีเมียมขนาดกลางในยุโรป มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับในสหรัฐอเมริกา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงตื่นเต้นในการที่จะนำโมเดล 3 ไปสู่ยุโรปในช่วงต้นปีหน้า”

ทั้งนี้ Tesla มีแผนจะสร้างโรงงานใหม่แห่งแรกที่ตั้งอยู่นอกสหรัฐฯ ในเมืองหลินกัง นครเซี่ยงไฮ้ และแม้ว่าจะยังไม่ได้เริ่มต้นก่อสร้าง แต่ก็ผ่านการทำสัญญาซื้อที่ดิน 210 เอเคอร์ได้แล้วในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงทำสัญญากับเทศบาลเซี่ยงไฮ้สำหรับการสร้างโรงงานที่จะมีกำลังผลิตรถยนต์สูงถึง 500,000 คันต่อปี ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

นอกจากนั้น แผนการยังมีการเตรียมเปิดตัวโมเดล 3 รุ่นราคาประหยัด 35,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.15 ล้านบาท ที่บริษัทเผยว่า “กำลังทำงานหนัก” เพื่อคลอดออกสู่ตลาดให้ได้ในเร็ววัน จากที่ตอนนี้ รุ่นราคาต่ำสุดคือเวอร์ชั่นกลางของโมเดล 3 ที่สามารถวิ่งได้ประมาณ 260 ไมล์ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ซึ่งมีราคา 46,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.5 ล้านบาท

สำหรับตัวราคาประหยัด 35,000 ดอลลาร์ มัสค์ระบุว่า อาจสามารถวางตลาดได้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ศกหน้า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook