คุณพระมือทาบอก! หนี้ครัวเรือนไทยปี 2561 พุ่งอยู่ที่ 3.16 แสนบาทต่อครอบครัว

คุณพระมือทาบอก! หนี้ครัวเรือนไทยปี 2561 พุ่งอยู่ที่ 3.16 แสนบาทต่อครอบครัว

คุณพระมือทาบอก! หนี้ครัวเรือนไทยปี 2561 พุ่งอยู่ที่ 3.16 แสนบาทต่อครอบครัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจประชาชนทั่วประเทศ 1,203 ตัวอย่างเกี่ยวกับสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2561 พบว่า จำนวนหนี้เฉลี่ยครัวเรือนในปี 2561 มีมูลค่า 3.16 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือนับตั้งแต่ทำการสำรวจมาเมี่อปี 2552 เพิ่มขึ้น 5.8% เทียบกับการสำรวจหนี้ครัวเรือนปี 2560 ที่มีหนี้ฉลี่ย 2.99 แสนบาทต่อครัวเรือน แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 64.7% โดยหนี้ในระบบลดลงจากการสำรวจปี 2560 มีสัดส่วน 74.6% และหนี้นอกระบบ 35.3% เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปี 2560 มีสัดส่วน 26.4%    

แม้ว่ามูลค่าหนี้ครัวเรือนในปี 2561 จะสูงสุดนับตั้งแต่มีการสำรวจมา แต่หากดูโครงสร้างหนี้ครัวเรือนแล้วยังไม่น่ากังวล เพราะจากการสอบถามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในการซื้อสินทรัพย์ เช่น รถยนต์ บ้าน และการลงทุนประกอบกิจการ เช่น ลงทุนเครื่องจักร ซื้อวัตถุดิบ เป็นต้น อีกส่วนมาจากการก่อหนี้เพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อครัวเรือน มีการก่อหนี้มาใช้จ่ายในครัวเรือนมากขึ้นเนื่องจากค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น

หากดูการผ่อนชำระต่อเดือน พบว่าครัวเรือนมีความสามารถในการผ่อนชำระสูงขึ้น โดยปี 2561 ผ่อนชำระเฉลี่ย 1.59 หมื่นบาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 3.15% เทียบกับปี 2560 ที่มีการผ่อนชำระ 1.54 หมื่นบาทต่อครัวเรือนต่อเดือน  

“โครงสร้างหนี้ครัวเรือนที่สำรวจมา ถือว่าไม่น่าห่วงและสอดคล้องกับที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ที่ระบุว่าหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันมีสัดส่วนต่อจีดีพีลดเหลือ 77% หรือประมาณ 12 ล้านล้านบาท หรือลดลงในรอบ 3-5 ปีที่หนี้ครัวเรือนมีสัดส่วนต่อจีดีพีอยู่ที่ 80%” นายธนวรรธน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่หนี้ครัวเรือนในปีนี้มีการก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการกู้หนี้ในระบบเต็มวงเงินทำให้ต้องก่อหนี้นอกระบบเพิ่มเติม ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งผลักดันมาตรการสินเชื่อพิกโก หรือให้นำสินทรัพย์ เช่น รถจักรยานยนต์ รถยนต์ นำมาใช้กู้ยืมได้ รวมถึงสินเชื่อนาโน อย่างต่อเนื่อง เพราะถือว่าดำเนินการถูกทางแล้ว และการดึงให้เจ้าหนี้นอกระบบมาอยู่ในระบบมากขึ้น โดยควบคุมอัตราดอกเบี้ยไม่ให้เกิน 36%ต่อปี จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบได้

สำหรับรายละเอียดการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือน พบว่าส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินมาใช้จ่ายทั่วไปมากที่สุด รองลงมาเป็นการกู้มาชำระหนี้เก่า, ลงทุนประกอบธุรกิจหรือประกอบอาชีพ, จ่ายบัตรเครดิต,การศึกษา,ซื้อบ้าน, เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ, ซื้อทรัพย์สิน (รถยนต์), ในการเกษตร,รักษาพยาบาล และเล่นพนัน โดยเฉพาะฟุตบอล เป็นต้น

“การแก้ปัญหาหนี้ภาพรวมของรัฐบาลมาถูกทาง ที่ส่งเสริมให้คนเข้าถึงแหล่งเงินในระบบมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน แม้ว่าผลการสำรวจหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนจะเพิ่มสูงสุด แต่หากเทียบกับสัดส่วนจีดีพีถือว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงเหมือนกับในอดีต ขณะเดียวกันการกู้หนี้การซื้อสินทรัพย์ ยังอยู่ในสัดส่วน 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับการลงทุนและ การใช้จ่ายทั่วไป ถือว่าเป็นเรื่องปกติ” นายธนวรรธน์ กล่าว

ด้านข้อเสนอที่ครัวเรือนต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้ เช่น ฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานและสร้างรายได้, การดูแลค่าครองชีพและควบคุมราคาสินค้า, ดูแลเรื่องสวัสดิการให้กับประชาชน, แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้, แก้ไขปัญหาการว่างงานและการเสริมอาชีพ, จัดหาแหล่งเงินทุนในระบบที่มีดอกเบี้ยต่ำ และจัดการขึ้นทะเบียนคนจน เป็นต้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook