"หน้ากาก N95" ช่วยติดสปีดให้ "3M" ทำกำไร หลังเมืองกรุงฯ สู้ศึกใหญ่! PM 2.5
เรียกว่าเป็น Rare Item แห่งปี 2019 เลยก็ว่าได้ สำหรับ “หน้ากาก N95” ที่ขาดตลาดอย่างหนัก เพราะตลอดสัปดาห์นี้เมืองกรุงฯ จะต้องเผชิญกับสภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 ที่มีปัจจัยมาจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่, ท่อไอเสียรถยนต์, ฝืนถ่านหุงต้ม, เผาขยะ-หญ้า, การเผาเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากหลายคนยังคงตื่นตระหนกถึงผลกระทบด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จนล่าสุด บริษัท 3 เอ็ม ประเทศไทย จำกัด เร่งนำเข้าหน้ากาก N95 จากฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก 4 แสนชิ้นภายในสัปดาห์นี้ รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นโดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่สูงขึ้น รวมถึงยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกด้วยในกรณีที่ความต้องการตลาดเพิ่มสูงขึ้นด้วย
ต้องบอกก่อนว่า 3เอ็ม มีผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นหน้ากากอย่างเดียว แต่ยังมี Post-it, สก๊อตซ์-ไบรต์, แผ่นดูดสิว หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรถยนต์ด้วย ที่สำคัญ 3เอ็ม เป็น Global Brand มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เซนต์พอล มลรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อบริษัท บริษัท มินเนโซต้า ไมนิ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และได้ขยายสำนักงานไปทั่วทุกมุมโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยอยู่ด้วย Sanook! Money ตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย มีรายได้เติบโตขึ้นทุกปีเฉลี่ยแล้วปีละหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
บริษัท 3 เอ็ม ประเทศไทย จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2510 โดยมีรายชื่อคณะกรรมการดังนี้
- นายเยาชี โจ หลิว
- นางสาวสุนทรี อัสสมงคล
- นางสาวนภาพร รัตนแสงหิรัญ
- นางสาวอรษา จันทร์งาม
- นายธานินทร์ สุนพงศรี
ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเทปกาว อุปกรณ์สำนักงาน ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ฯลฯ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลัง ดังนี้
- ปี 2557 รายได้ 12,363 ล้านบาท กำไร 1,891 ล้านบาท
- ปี 2558 รายได้ 12,734 ล้านบาท กำไร 1,150 ล้านบาท
- ปี 2559 รายได้ 13,402 ล้านบาท กำไร 885 ล้านบาท
- ปี 2560 รายได้ 13,425 ล้านบาท กำไร 966 ล้านบาท
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา 3เอ็ม ประเทศไทย มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่กำไรลดลงเพียง 3 ปี (ตั้งแต่ปี 2557-2559) หลังจากนี้คงต้องมาติดตามกันต่อไปว่า หน้ากาก N95 จะช่วยติดปีกให้ 3เอ็ม ประเทศไทย พลิกทำกำไรให้ทะลุพันล้านได้อีกหรือไม่ แต่คิดว่าอย่างน้อยน่าจะเป็นผลบวกในแง่ของธุรกิจกลุ่มนี้เช่นกัน
เรียกว่าเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทองจริงๆ