ครม. อัดงบ "บัตรทอง" ปี 2563 ร่วม 1.91 แสนล้านบาท

ครม. อัดงบ "บัตรทอง" ปี 2563 ร่วม 1.91 แสนล้านบาท

ครม. อัดงบ "บัตรทอง" ปี 2563 ร่วม 1.91 แสนล้านบาท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ2563 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่จำนวน 1.91 แสนล้านบาท โดยเป็นเงินเข้าสู่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.41 แสนล้านบาท จากข้อเสนอจำนวน 1.99 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่เข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มจากปี 2562 จำนวน 6,500 ล้านบาท โดยงบที่ได้รับประกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้

  1. งบบริการทางการแพทย์เหมา  จ่ายรายหัว จำนวน 1.74 แสนล้านบาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหน่วยบริการในส่วนเงินเดือน ค่าตอบแทนบุคลากร และค่าบริการสาธารณสุขในระดับท้องถิ่น หรือพื้นที่สำหรับประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จำนวน 48.26 ล้านคน คิดเป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว 3,600 บาทต่อประชากร เพิ่มขึ้นจากปี 2562 เป็นจำนวน 173 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ์
  2. งบบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,596 ล้านบาท
  3. งบบริการสาธารณสุขผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จำนวน 9,405 ล้านบาท
  4. งบบริการบริการควบคุมป้องกันความรุนแรงโรงเรื้อรัง จำนวน 1,037 ล้านบาท
  5. งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,490 ล้านบาท
  6. งบค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในชุมชน จำนวน 1,025 ล้านบาท
  7. งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว จำนวน 268 ล้านบาท

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า จากงบประมาณที่รัฐบาลสนับสนุนเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2563 นี้ โดยเฉพาะในส่วนงบเหมาจ่ายรายหัวจะนำมาสู่การพัฒนาระบบ เพิ่มการเข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขที่จำเป็นให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีสิทธิประโยชน์ทั้งการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การรักษาผู้ป่วยนอก การรักษาผู้ป่วยใน ซึ่งในปีนี้ได้มีสิทธิประโยชน์ที่ผ่านการพิจารณาและเตรียมเดินหน้าในปีงบประมาณ 2563 ได้แก่

การตรวจคัดกรองยีน HLA-B*1520 ก่อนเริ่มยา Carbamazepine เพื่อป้องกันการแพ้ยาชนิดรุนแรง, ปรับการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชากร อายุ 50-70 ปีให้เกิดความสะดวกมากขึ้น, เพิ่มบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับอีก 12 รายการ เพิ่มการผ่าตัดผ่านกล้องและอุปกรณ์ทันสมัยเพื่อให้กลับบ้านได้เร็วขึ้น, การเพิ่มยารักษาโรคอัลไซเมอร์ มะเร็งไทรอยด์ โรคที่เกิดจากการทำลายเส้นประสาท และเพิ่มสูตรยาต้านไวรัสเอดส์ที่ดื้อยา, เพิ่มเครื่องตรวจติดตามค่าน้ำตาลในเลือดให้ผู้ป่วยเบาหวานเด็ก, เพิ่มวัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงในเด็ก และขยายสิทธิประโยชน์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในกลุ่มผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ

นอกจากนี้ ยังปรับระบบการจัดการให้ประชาชนมีแพทย์ประจำครอบครัวใหม่, การดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงทุกกลุ่มอายุ โดยปี 2563 ให้ครอบคลุมถึงผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม จากความร่วมมือหน่วยบริการในพื้นที่และ อปท. การเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการแพทย์แผนไทยมากขึ้น

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2563 สปสช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนำร่องการจัดบริการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นและมีคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น อาทิ นำร่องบริการตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์ นำร่องการล้างไตผ่านเครื่องอัตโนมัติในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง และนำร่องป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีด้วยวิธี Pre-Exposure Prophylaxis (PrEP) ในกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook