หักดังเป๊าะ! BEAUTY นางฟ้าปีกหักแห่งปี 2561
ฉบับย่อ
- หุ้น BEAUTY ของบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) นับเป็นหุ้นเติบโตที่โด่งดังตัวนึง เพราะราคาเพิ่มจากตอนเปิดจอง IPO ที่ 8 บาท มาสูงสุดที่70 บาท ก่อนที่จะถูกเทขายลงจนราคาติดฟลอร์
- สาเหตุของการถูกเทขายหลักๆมาจากรายได้และกำไรที่ลดลงของบริษัท ซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของนักลงทุนที่ให้ค่าหุ้นเติบโตตัวนี้มาก จนมีค่า P/E สูงแตะ 54 เท่า
- บิวตี้มีเป้าหมายจะทำให้รายได้จากต่างประเทศสูงถึง 50% (จากปัจจุบันที่ประมาณ 20%) และมุ่งขายสินค้าทั้งทางช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
ถ้าพูดถึงหุ้นโหดแบบที่ขึ้นจนหน้ามืดและก็ลงจนต้องร้องขอชีวิต ไม่ว่าสำนักไหนพี่่ทุยมั่นใจว่าหุ้น BEAUTY ของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) ต้องติดโผอย่างแน่นอน ยิ่งพอดูราคาหุ้นประกอบแล้ว พี่ทุยก็รู้สึกกลัวเลยทีเดียว
เพราะราคาเค้าวิ่งมาจากราคา IPO ถึง 23.9 เท่า จากเมื่อตอน IPO ที่ 8 บาทต่อหุ้นเป็น 23.70 บาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 ก่อนจะถลาลงมาทำจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ที่ราคา 6.45 บาท เท่ากับว่าหุ้นเติบโตตัวนี้ค่อยๆขึ้นเหมือนเราค่อยๆขับรถขึ้นเขาและใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะถึงจุดหมาย แต่ลงอย่างรวดเร็วเหมือนนางฟ้าปีกหักโดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเศษๆ เท่านั้นเอง
ทำไมก่อนหน้านี้ราคาหุ้นถึงขึ้นสูงได้ขนาดนั้น ?
2-3 ปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าใครก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หุ้น BEAUTY เป็นหุ้นเติบโต ทั้งรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในทุกๆ ไตรมาส จากรายได้ 777.50 ล้านบาทในปี 2555 กลายเป็น 3,792 ล้านบาทในปี 2561 คิดเป็นการเติบโตของรายได้ถึง 487% แต่กำไรกลับฟินกว่านั้น เพราะเติบโตจาก 173.70 ล้านบาทเป็น 1,156 ล้านบาท คิดเป็น 665%
เหตุผลที่บริษัทสร้างกำไรได้สูง น่าจะเป็นผลมาจากการบริหารต้นทุนได้ดี เน้นการเช่าพื้นที่ในการขยายสาขาโดยไม่ซื้อพื้นที่ ถ้าทำเลนั้นๆไม่เวิร์ค ขายไม่ได้ตามเป้าแล้วก็แค่เปลี่ยนที่เช่าใหม่ สินค้าทุกชนิดของเค้าก็จ้างผลิตทั้งหมด ถ้าสินค้าตัวไหนขายไม่ดีหรืออยากจะปรับเปลี่ยนก็แค่สั่งโรงงานให้เลิกผลิตหรือจะเปลี่ยนโรงงานก็ยังได้ ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการมีโรงงานของตัวเอง นอกจากนี้เวลาเค้าจะส่งสินค้าไปขายต่างประเทศก็มีการทำประกันค่าเงินไว้เป็นอย่างดี พอควบคุมต้นทุนได้ กำไรส่วนต่างก็งอกเงยนั่นเอง
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้นักลงทุนก็เปิดไฟเขียวให้หุ้นที่มีพื้นฐานกิจการที่เติบโตขนาดนี้และตอบสนองด้วยราคาหุ้นที่พุ่งสูงจนสัดส่วนราคาต่อหุ้น (P/E Ratio) พุ่งขึ้นสูงแตะ 54 เท่า !
สัดส่วนค่า P/E นี้บอกเล่าได้ดีว่านักลงทุนมีความคาดหวังต่อการเติบโตของหุ้นมากๆ เพราะแปลได้ว่านักลงทุนยอมจ่ายเพื่อให้ได้หุ้นที่จะสร้างกำไรให้คุ้มทุนในระยะเวลาประมาณ 54 ปี ซึ่งเป็นความคาดหวังที่สูงจนหนักอึ้ง
แน่นอนว่า ความคาดหวังสูงย่อมทำให้คิดว่าทุกอย่างสวยงามไปหมด จนเหมือนมีผ้าบางๆมาบังตาทำให้เรามองไม่เห็นบางอย่าง พูดง่ายๆว่าเหมือนตอนเวลาที่ความรักบังตา มองอะไรก็สวยงามไปหมดไงล่ะ (ฮือ) น้ำตานอง
หุ้น BEAUTY ก็เช่นกัน เพราะเมื่อ นพ.สุวิน ผู้บริหารออกมากระซิบว่า รายได้ของไตรมาสนี้จะหดตัว หุ้นก็ถูกเทขายลงมาอย่างโหดร้าย เหมือนลืมภาพดีๆที่เคยมีมาด้วยกันก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น (ฮืออีกรอบนึง)
รายได้รวมของ BEAUTY สูงขึ้นเรื่อยๆตลอดจนมาสะดุดที่ปี 2561 บริษัทแจ้งว่าเป็นผลมาจากการที่รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนลดลง (จากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต) และเมื่อช่วงปี 2561 มีการตรวจจับเรื่อง อย. เครื่องสำอางเข้ม ซึ่งแม้สินค้าของทางบิวตี้จะได้มาตรฐาน แต่ตลาดเครื่องสำอางโดยรวมก็ซบเซาไปด้วย รายได้เลยหดตัวลง
และกำไรของบริษัทก็หดตัวลงเช่นกันในปี 2561
อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ก็ลดลงในปี 2561 ซึ่งสำหรับหุ้นเติบโตอย่างบิวตี้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากๆ
เพราะฉะนั้นลองอ่านพื้นฐานกิจการกันให้ดีๆนะ ว่านักลงทุนมีความคาดหวังสูงจนมีอัตราส่วน P/E สูงลิ่วและโครงการในอนาคตดูดี มีความหวังที่จะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและ P/E ลดลงได้มั้ย จะได้ไม่ต้องลุกช้าจ่ายรอบวงเหมือนคนเปย์น้องสวยปีก่อนนะ นักลงทุนแนววีไอหลายคนจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีค่า P/E สูง เพราะเหมือนเรากำลังเล่นอยู่กับราคาอนาคต อันนี้แล้วแต่ไลฟ์สไตล์การลงทุนของแต่ละคนเลย
ธุรกิจในเครือบริษัทบิวตี้มีอยู่ด้วยกันหลายร้าน ได้แก่ Beauty Buffet, Beauty Cottage, Beauty Market, Made In Nature และ Beauty Plaza ซึ่งแต่ละร้านก็มีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป เช่น Beauty Cottageจะเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยทำงานและเน้นบำรุงมากกว่า Beauty Buffet ที่จะเน้นกลุ่มลูกค้าตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เลยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เล่นสีสันและมีราคาถูกกว่า วัยรุ่นจะได้หยิบซื้อได้ง่าย ไม่ต้องคิดเยอะ
พี่ทุยขอชวนคิดนิดนึงว่า เนื่องจากสินค้าประเภทนี้ เป็นสินค้าที่มีวงจรชีวิตสั้น มาเร็วไปเร็ว วันนี้สาวๆอาจจะชอบครีมเมือกหอยทาก แต่ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้เค้าอาจจะเปลี่ยนไปชอบครีมน้ำลายจระเข้ก็ได้นะ เพราะฉะนั้นเราควรสังเกตวิธีจัดการกับสินค้าคงคลังของเค้าด้วย
BEAUTY ยังสวยอยู่มั้ย อนาคตเค้ามีแผนยังไงบ้าง ?
จะเห็นได้ว่าร้าน Beauty Buffet ทำรายได้ได้มากที่สุด และมีสัดส่วนการขายในต่างประเทศสูงถึง 20% ซึ่งก็คือการขยายสาขาในประเทศ CLMV (ปัจจุบันมีอยู่ 10 สาขาแล้ว) บริษัทตั้งเป้าว่าอยากผลักดันในส่วนรายได้จากต่างประเทศตรงนี้ให้เป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2565 โดยจะเพิ่มการขายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ (เรียกว่ามุ่งหน้าขายแบบ Omni-Channel) เช่น การทำ e-Commerce ขายสินค้าให้จีนโดยตรง
ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า การแต่งหน้าในครั้งนี้ บิวตี้จะออกมาสวยอย่างที่วางเป้าไว้มั้ย และรับมือกับปัญหาเดิมที่เคยเกิดขึ้นได้ดีแค่ไหน ซึ่งก็คือ การพึ่งพาลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ในที่นี้ก็คือ คนจีน พอนักท่องเที่ยวจีนลดลง รายได้ก็เลยลดลงอย่างปีที่แล้ว และตอนนี้บริษัทก็กำลังจะมุ่งพึ่งพารายได้จากต่างประเทศมากถึงครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด การพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากมายขนาดนั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดไม่น้อยเลย เอาเป็นว่าเราคงจะต้องมองกันยาวๆเลยแหละสำหรับในกรณีนี้
เห็นมั้ยว่าการกระจายความเสี่ยงสำคัญเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้แต่บริษัทใหญ่ๆยังต้องทำการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนหรือการทำธุรกิจของตัวเองเลย เพราะเวลามีปัจจัยหนึ่งมากระทบสินทรัพย์บางชนิด ถ้าเรามีสินทรัพย์ที่แตกต่าง เค้าก็จะไม่ได้รับผลกระทบและพอร์ตของเราก็จะได้ไปต่อนั่นเอง จิ้งจกร้องทักเรายังฟัง นี่พี่ทุยร้องทักแล้ว อย่าลืมไปตรวจสุขภาพหุ้นในพอร์ตกันดีๆนะ