บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-ลดหย่อนภาษี ความหวังปั๊มเศรษฐกิจไทยกลางปี 2562
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุว่า มติที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงกลางปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอใน 2 เรื่อง คือ มาตรการพยุงเศรษฐกิจผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ มาตรการภาษี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มาตรการพยุงเศรษฐกิจในช่วงกลางปี 2562 ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- เพิ่มเบี้ยคนพิการ ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นจำนวนเงิน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน 2562
- ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรในการซื้อปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และปัจจัยการผลิตอื่นๆ เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว)
- ช่วยเหลือค่าชุดนักเรียนและอุปกรณ์การศึกษาช่วงเปิดปีการศึกษาเพิ่มเติมจากการช่วยเหลือของกระทรวงศึกษาธิการที่มีอยู่เดิม เป็นจำนวน 500 บาทต่อบุตร 1 คน (ได้รับครั้งเดียว) โดยจะให้สิทธิตามจำนวนบุตรผ่านแม่หรือพ่อที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- ช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อย โดยเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคจำเป็นในร้านธงฟ้าประชารัฐเป็น 500 บาท ต่อคนต่อเดือนเท่ากันทุกคน (เดิมได้ 300 บาท ให้เพิ่มอีก 200 บาท หรือเดิมได้ 200 บาท ให้เพิ่มอีก 300 บาท) เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน 2562
มาตรการภาษีเพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงกลางปี 2562
- การท่องเที่ยวทั่วไทย สามารถขอลดหย่อนค่าโรงแรม ค่าบริการ โฮมสเตย์ในเมืองหลักไม่เกิน 15,000 บาท และเมืองรองไม่เกิน 20,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 30 มิถุนายน 2562
- ซื้อสินค้าเกี่ยวกับการศึกษาและกีฬา สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2562
- สินค้าท้องถิ่นไทย (OTOP) สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน - 30 มิถุนายน 2562
- หนังสือและบริการ e-Book สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2562
- บ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโด มูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ตามจำนวนจริงที่จ่ายไม่เกิน 200,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน – 31 ธันวาคม 2562
- ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax) สามารถหักรายจ่ายลงทุนผ่าน e-Tax 2 ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน - 31 ธันวาคม 2562
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงสั้นขณะที่รอรัฐบาลใหม่ โดยคาดว่าจะใช้วงเงินรวมทั้งหมด 13,200 ล้านบาท