เจาะมูลค่าธุรกิจดิวตี้ฟรี ขุมทรัพย์ในสนามบินที่ร้อนแรงจนใครๆ ก็อยากจับจอง
หากต้องเดินทางไปยังสนามบินต่างๆ ทั่วโลก เราจะต้องพบกับพื้นที่ขายสินค้าที่เรียกว่า ดิวตี้ฟรี (Duty Free) หรือร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งมีสินค้าต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้ออย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า เครื่องประดับ เสื้อผ้า ฯลฯ ซึ่งใครจะไปรู้ว่า ธุรกิจดิวตี้ฟรี คือหนึ่งในช่องทางหลักที่สร้างรายได้ให้กับสนามบินแต่ละแห่งเลยทีเดียว
ตามรายงานของ GlobalData ในหัวข้อ Global Duty Free Retailing, 2017-2022: Market & Category Expenditure and Forecasts, Trends, and Competitive Landscape มองว่า ธุรกิจดิวตี้ฟรียังมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2560-2564 ธุรกิจดิวตี้ฟรีทั่วโลกจะมียอดขายทะลุ 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.5% ต่อปี
สำหรับในประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจดิวตี้ฟรีคงหนีไม่พ้น “คิง เพาเวอร์” ที่ล่าสุดเป็นผู้ชนะการประมูลเหนือคู่แข่งอื่นๆ คว้าสิทธิ์บริหารพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แทนสัญญาเก่าที่จะหมดลงไปในปี 2563 นี้
>> คิง เพาเวอร์ ชนะประมูลดิวตี้ฟรี สุวรรณภูมิ-ทอท.แจงเสนอผลตอบแทนสูงกว่าปัจจุบัน
โดยรายละเอียดของสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีสนามบินสุวรรณภูมิฉบับใหม่นี้ มีระยะเวลาสัมปทาน 10 ปี (ตั้งแต่ 28 ก.ย. 2563 – 31 มี.ค. 2574) มีพื้นที่ดิวตี้ฟรีในสุวรรณภูมิ 12,021 ตารางเมตร และมีค่าธรรมเนียมสัมปทานดิวตี้ฟรีอยู่ที่ 15% ซึ่งน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ที่เก็บค่าธรรมเนียมถึง 30-40%
ทั้งนี้ การยื่นประมูลสัมปทานสิทธิ์บริหารพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (Duty Free) ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะมีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ โดยผู้ได้รับสัมปทานจะมีเพียงรายเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนกับสนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้, สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ และสนามบินฮ่องกง ที่ผู้ได้รับสัมปทานจะมีมากกว่าหนี่งราย