เห่อเลี้ยงหมาสะพัด 2 หมื่นล้าน ธุรกิจครบวงจร
ธุรกิจสัตว์เลี้ยงบูม 2 หมื่นล้าน ผลพวงจากเหล่า บรรดาเซเลบไฮโซ หันมาให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้นโดยเฉพาะสุนัขส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องตั้งแต่เกิดยันตายโตตามไปด้วย
เผยใกล้หน้าหนาวเสื้อผ้า-อุปกรณ์ขายดี ขณะที่บริษัทรับจัดงานศพน้องหมาแนวโน้มรุ่ง เผยงานศพครบ วงจรจ่าย 7 พัน คาดแต่ละปีตลาดโต 10-20% ขณะที่ ค่าย ประกันชี้แนวโน้มประกันสุนัข พุ่งหลังค่ารักษาแพง
ภาพรวมธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทยมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มอาหาร, เครื่องใช้และอุปกรณ์, การแพทย์และบริการยังมีแนวโน้มเติบโตสูง
เนื่องจากมีความต้องการสูงขึ้นผนวกกับราคาสัตว์เลี้ยงที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงในเมืองไทยยังมีมูลค่าที่น้อยมากหากเทียบกับญี่ปุ่นที่มีมูลค่าตลาดกว่า 7 หมื่นล้านบาท
สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือสุนัข ซึ่งเห็นได้ว่ามีธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นบริการเสริมสวย บริการรับฝากสุนัชช่วงน้ำท่วม หรือบริการรับจัดงานศพ ชี้แฟชั่นตูบหน้าหนาวขายดี
นายชาญชัย ชัมพาลี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เพ็ทสเปเชียลลิสต์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ "PUPPE" และ "ELITE" กล่าวกับ "สยามธุรกิจ" ว่า แนวโน้มการเลี้ยงสุนัขจากนี้ไปไม่ใช่เพียงแค่เลี้ยงเฝ้าบ้านหรือเป็นแค่เพื่อน
แต่มีการเลี้ยงดูสุนัขเหมือนกับลูก โดยเฉพาะคู่รักวัยรุ่น คนดัง ทำให้ทัศนคติการดูแลสุนัขก็เปลี่ยนไปด้วย โดยสุนัขที่ได้รับความนิยมมากยังคงเป็นพันธุ์พุดเดิ้ลเนื่องเพราะมีบุคลิกที่ขี้อ้อน
และจับแต่งตัวได้ง่าย รองลงมาเป็นปอม และชิวาว่า เนื่องจากเป็นสุนัขฉบับกระเป๋า ทำให้กระเป๋าสำหรับสุนัขขายดีตามไปด้วย
สำหรับตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับสุนัขถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตมาโดยตลอดซึ่งในปีนี้คาดว่าจะโต 10% เนื่องจากยังมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยและส่วนใหญ่นิยมซื้อของถูกกว่าแต่ภาพรวมยังเติบโตแม้จะยังไม่เทียบเท่ากับตลาดต่างประเทศ
แต่ถือว่ามีทิศทางการเติบโตที่ดี ในส่วนของบริษัทฯมีการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมี2แบรนด์ ได้แก่ PUPPE และ ELITE ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
โดย ELITE จะโฟกัสไปที่สุนัขพันธุ์เล็ก จับกลุ่มพรีเมี่ยม ราคาเริ่มต้น 200 บาทขึ้นไป ขณะที่ PUPPE จับตลาดทั่วไปราคา 100 บาทขึ้นไป โดยช่วงไฮซีซั่นของตลาดเสื้อผ้าสุนัขจะขายดีมากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมกราคม
ธุรกิจงานศพน้องหมารุ่ง
น.ส.พลอยทราย ภัสสรศิริ กก.ผจก.บริษัท เพ็ทมาสเตอร์ จำกัด เจ้าของธุรกิจฌาปนกิจสัตว์เลี้ยง "Pet Master" เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2552
โดยสานต่อความเชี่ยวชาญในธุรกิจเตาเผาขยะที่มาตรฐาน บริษัท ภัทรพันธ์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว และออกแบบมาเป็นเตาเผาไร้มลพิษสำหรับสัตว์เลี้ยง
โดยเช่าพื้นที่ในวัด 3 แห่งในกรุงเทพฯ คือ วัดธาตุทอง วัดไก่เตี้ย และวัดบางบัว ล่าสุดรูปแบบแฟรนไชส์ที่สว่างฟ้าพฤฒาราม พัทยา และจะมีที่เชียงใหม่อีก 1 แห่ง
สำหรับธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย รับจัดงานศพสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยมีพิธีสวดและเผา บริการรถรับส่งศพ บริการห้องเย็น และบริการลอยอังคาร และจำหน่ายอุปกรณ์ต่างเกี่ยวกับงานศพสำหรับสัตว์เลี้ยง
อาทิ โลงศพ โถเก็บกระดูก พวงหรีดฯลฯปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 50 รายต่อเดือน ค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-7,000 บาทสำหรับงานศพแบบครบวงจร ส่วนโลงศพและอุปกรณ์ต่างๆมีราคา 450-1,000 บาทโดยประมาณ
"พฤติกรรมของลูกค้า ส่วนใหญ่เป็นคนที่รักและผูกพันธ์กับสัตว์เลี้ยงเสมือนหนึ่งครอบครัว จึงมีความยินดีที่จะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงที่ตัวเองรัก อีกทั้งพื้นที่ในการฝังในเขตกรุงเทพฯหายากขึ้นทุกวัน ส่งผลธุรกิจนี้เติบโตด้วยดี"
สำหรับสัตว์เลี้ยงที่นิยมจัดงานศพอันดับแรกคือ สุนัข รองลงมาคือ แมว กระต่าย ไก่ หนูแฮมสเตอร์ หรือปลา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสายพันธุ์ที่มีราคาสูง
นางสาวพลอยทราย กล่าวว่า ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงยังเติบโตด้วยดี โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้บริษัทมีแผนการขยายบริการไปยังต่างจังหวัด
ในรูปแบบแฟรนไชส์ซึ่งบริษัทฯจะร่วมทุน 50% เป็นเวลา 3 ปี เงินทุนเบื้องต้น 2 ล้านบาท สำหรับโครงสร้างและเตาเผา อุปกรณ์ เช่น กล้องวงจรปิด รวมทั้งการทำตลาด
ประกันน้องหมาแนวโน้มเติบโตดี
ขณะที่ธุรกิจประกันภัยเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในธุรกิจสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะประกันสุนัขซึ่งบริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด(มหาชน) นับเป็นบ.ประกันภัยแห่งแรกที่ดีไซน์แบบประกันภัยสุนัขมาทำตลาดเมื่อ 4-5 ปีก่อน
น.ส.รุ่งทิพย์ ทองศักดิ์ ผจก.อาวุโสมิตรแท้ประกันภัย เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า ตลาดขยายตัวได้ดี แต่ระยะหลัง บริษัทไม่ได้บุกมากเนื่องจากเจอปัญหาขั้นตอนการทำเคลมยาก
กล่าวคือเวลาสุนัขประสบอุบัติเหตุ มีหลายปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์สาเหตุได้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์หรือเป็นข้อยกเว้นทำให้ต้องจ่ายหมดเกือบทุกกรณี
อาทิ กรมธรรม์จะมีข้อยกเว้นไม่คุ้มครองกรณีสุนัขโดนรถชน แต่เวลามาเคลมพิสูจน์ไม่ได้ว่าสาเหตุมาจากรถชน
อย่างไรก็ดี ประกันภัยสุนัขเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตเพราะคนอยู่กับสุนัขมากขึ้น มีบุตรน้อยลง อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลสุนัขค่อนข้างแพงหากเจ็บป่วยรักษาเองครั้งละ 5,000-6,000 บาท
ซึ่งหากบริษัทมีศักยภาพและมีความพร้อมด้านสัตวแพทย์พร้อมที่จะบุกตลาดทันทีเพราะถือว่าเป็นตลาดที่บริษัทบุกเบิกขึ้นมา
"การทำตลาดในขณะนี้หากลูกค้าต้องการพร้อมที่จะเสนอให้โดยจำกัดรับวงเงินคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท เบี้ยประกัน 4,500 บาทต่อปี
คุ้มครองทั้งตายจากอุบัติเหตุและเจ็บป่วย ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุและเจ็บป่วยรวมถึงคุ้มครองต่อทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิตบุคคลภายนอกที่สุนัขไปทำให้เกิดความเสียหาย เช่น สุนัขไปกัดคนอื่นจะจ่ายค่าชดเชยแทนให้ เป็นต้น"
ด้านนายวาสิต ล่ำซำ รองกก.ผจก.บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ"สยามธุรกิจ"ว่า บริษัทได้เริ่มขายกรมธรรม์ประกันภัยสัตว์เลี้ยง "เพ็ท เลิฟเวอร์"
ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างเซ็นทรัลตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มีสุนัขทำประกันแล้ว 100 ตัว และยังร่วมมือกับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ เช่น สมาร์ทฮาร์ท และเจอร์ไฮน์ในการทำตลาดด้วยการให้ความรู้
เพราะกลุ่มนี้มีฐานลูกค้าและคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ามีประกันสัตว์เลี้ยง
นายวาสิต กล่าวว่า กรมธรรม์ของบริษัทเน้นคุ้มครองสุขภาพ อุบัติเหตุและประกันภัยบุคคลที่3กรณีสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงไปกัดบุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นรวมไปถึงบริการเสริม
ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ประกาศตามหากรณีที่สูญหายเป็นต้น เบี้ยประกันประมาณ 3,000-7,000 บาท ทุนประกัน 20,000-50,000 บาท
สำหรับแนวโน้มของการประกันภัยสัตว์เลี้ยงยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันคู่แข่งยังไม่มากแค่ 2 บริษัท