บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ จะถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีหรือเปล่า หลังมีเงินเข้าบัญชีเกินหลักล้าน
บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ มียอดบริจาคช่วยน้ำท่วมทะลุ 100 ล้านบาท อาจไม่ต้องเสียภาษีให้กรมสรรพากร หลังเพจดังด้านภาษีกางกฎหมายพร้อมระบุว่ายอดเงินบริจาคดังกล่าวเป็นเจตนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมีหลักฐานการช่วยเหลือชัดเจน แจงควรได้รับการยกเว้นภาษีด้วยซ้ำ
เพจเฟซบุ๊ก TaxBugnoms โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการรับเงินบริจาคของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ว่าจะถูกกรมสรรพากรตรวจสอบหรือไม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
โดยเพจเฟซบุ๊ก TaxBugnoms ได้อ้างอิงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48)
- พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40)
- มาตรา 42(29)
ซึ่งโพสต์ดังกล่าวระบุว่า มีหลายคนถามปัญหานี้เข้ามา พร้อมกับแทคเพจ TaxBugnoms ให้พรี่หนอมช่วยตอบที ขออนุญาตตอบเป็นความเห็นโดยอ้างอิงตามหลักการกฎหมายดังนี้ครับ
1. ถ้าถามว่าจะโดนส่งข้อมูลไหม คำตอบคือ ถ้าเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ นั่นคือ ตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี ขึ้นไป หรือ 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ย่อมจะถูกส่งข้อมูลอยู่แล้วครับ
ดังนั้น ถ้าถามว่ากรณีพี่บิณฑ์ถูกธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากร คำตอบคือ ต้องถูกส่ง และถูกส่งภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
2. แต่ประเด็นต่อคือ จะถูกประเมินภาษีไหม? คำตอบตรงนี้ต้องแยกก่อนว่า กรณีที่ธนาคารส่งข้อมูลให้กับสรรพากรนั้น ทางสรรพากรเองไม่สามารถประเมินภาษีได้ทันที หรือถ้าจะประเมินจากกรณีนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร เพราะตัวพี่บิณฑ์เองน่าจะมีหลักฐานการบริจาคที่ชัดเจนให้เห็นอยู่แล้วว่า เงินที่เข้าบัญชีหมด ได้ถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วมต่อไป
ถ้ามองในแง่ของการทำงาน และหลักฐาน โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีการประเมินภาษีจากกฎหมายในส่วนนี้ได้ เพราะว่าเงินที่ได้มานั้นมันมีหลักฐานการเข้าออกบัญชีที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่ใช่รายได้ของพี่บิณฑ์ แต่เป็นเพียงทางผ่านของเงินไปเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหา
ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถเก็บภาษีได้ครับ จากหลักฐานที่ว่ามา และมันเป็นเครื่องยืนยันอย่างนึงให้เราเข้าใจว่า ถ้าหากเรามีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน หรือรับเงินที่พิสูจน์ได้ ต่อให้ถูกส่งข้อมูลให้สรรพากรไปจริงๆ ก็ไม่สามารถประเมินภาษีได้
3. ถ้าหากจะมองในแง่ของปัญหาด้านภาษีจริงๆ อาจจะไปดูที่เรื่องของ #ภาษีการรับให้ น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะว่ากรณีนี้มีการได้รับเงินมากกว่า 10 ล้านบาทแน่ๆ และถ้ามองในแง่ของกฎหมาย การให้เงินทั้งหมดนี้ จะถูกตีความว่าเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีจากบุคคลอื่นหรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าทางสรรพากรเองมองไปในทางไหน
(เพิ่มเติม) ถ้าให้มองจริงๆ เงินก้อนนี้ควรได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ผู้ให้แสดงเจตนาใช้เพื่อกิจการสาธารณประโยชน์มากกว่า
อย่างไรก็ดี พรี่หนอมคิดว่าเรื่องใหญ่ที่คนในชาติกำลังช่วยเหลือกันแบบนี้ คงไม่มีใครจะมาคิดจัดเก็บภาษีจากเงินก้อนนี้หรอกครับ เพราะเราก็รู้กันดีว่าเงินก้อนนี้ถูกใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นต่อ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง
...จริงไหมครับ?