หน้ากากอนามัยขาดตลาดรับกระแส "ไวรัสโคโรนา-PM 2.5" เตือนสายหิ้วระวังเจอภาษี!

หน้ากากอนามัยขาดตลาดรับกระแส "ไวรัสโคโรนา-PM 2.5" เตือนสายหิ้วระวังเจอภาษี!

หน้ากากอนามัยขาดตลาดรับกระแส "ไวรัสโคโรนา-PM 2.5" เตือนสายหิ้วระวังเจอภาษี!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "หน้ากากอนามัย" กลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่คนทั่วโลกกำลังต้องการอยู่ในตอนนี้ หลังเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาที่ประเทศจีน

>> ไวรัสโคโรนา: รายงานสดสถานการณ์ทั่วโลก เร่งสกัดเชื้อก่อนสาย

หากมองย้อนกลับมาในประเทศไทยนั้น เราจะพบสื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวในทำนองที่ว่า "หน้ากากอนามัยขาดตลาด" หลังคนไทยแห่ซื้อเพื่อนำไปใช้ป้องกันการแพร่เชื้อโรค โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความพยายามนำเข้าหน้ากากอนามัยโดยสวมหัวว่าเป็นผู้โดยสารเพื่อที่จะใช้ทั้งส่วนตัวและการค้า

แต่รู้มั้ย? หากเราซื้อหน้ากากอนามัยในปริมาณมากๆ แล้วพกติดตัวเข้ามาในประเทศจะต้องเสียภาษีด้วยนะ ส่วนจะเป็นภาษีอะไรนั้น Sanook Money มีคำตอบมาฝากกัน

ข้อมูลจากกรมศุลกากร ระบุว่า พิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในไทย ณ สนามบิน ผู้โดยสารที่ได้รับการยกเว้นอากรจะต้องเป็นสสิ่งของส่วนตัวมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท และเป็นของที่ไม่มีลักษณะการค้า

ส่วนผู้โดยสารที่มีของต้องสำแดงจะต้องมีของส่วนตัวมูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือของที่มีลักษณะทางการค้า จะต้องเสียภาษีอากร หากสิ่งของนั้นเป็นของต้อง "กำกัด" จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอนำเข้าเสียก่อน

เพจเฟซบุ๊ก iTax Thailand ได้อธิบายถึงหน้ากากอนามัยมีการแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่

  1. หน้ากากอนามัยชนิดที่กรองฝุ่นเพียงอย่างเดียวไม่เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ จึงไม่ต้องมีใบอนุญาตก่อนนำเข้า
  2. ส่วนหน้ากากอนามัยชนิดที่กรองเชื้อโรคแบคทีเรียได้ เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ ต้อง "กำกัด" (Restricted Goods) ต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการนำเข้า

ดังนั้น หน้ากาก N95 ชนิดกันเชื้อโรค กันแบคทีเรียต้องเสียอากรนำเข้า 5% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ตามกฎหมาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook