ทองคำยังเนื้อหอม แนะนักลงทุนถือต่อหลังไวรัสโคโรนายังยืดเยื้อ
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า TISCO ESU ยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนถือทองคำต่อ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำโลกและทองคำไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการกลับมาอัดฉีดสภาพคล่องของหลายประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะมีขึ้นช่วงปลายปีนี้ และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ยังคงยืดเยื้อและเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาทองคำในปัจจุบันอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากสถานะเก็งกำไรสะสมของทองคำอยู่ในระดับสูงมาก ชี้ให้เห็นว่าตลาดมีการประเมินความเสี่ยงไว้ในระดับที่สูงมากแล้ว
โดยรายงานสถานะการลงทุนของนักเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (CFTC Commitment of Trader Report) ซึ่งสะท้อนมุมมองของนักลงทุนประเภท Hedge Funds เป็นรายสัปดาห์ สิ้นสุด ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่านักเก็งกำไรเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทองคำ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงยืดเยื้อและเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้นักลงทุนกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
โดยนักเก็งกำไรเข้าซื้อสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าของตลาด CBOE มากกว่า 45,000 สัญญาในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 8 เดือน ส่งผลให้ในขณะนี้สถานะเก็งกำไรในทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 353,600 สัญญา ซึ่งนับเป็นระดับการเก็งกำไรในทองคำที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
นายคมศร กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของราคาทองคำนั้นส่งผลดีต่อตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา เติบโตที่ระดับ 3.4% สูงกว่าที่ตลาดคาด และเป็นการกลับมาเติบโตครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ซึ่งส่วนหนึ่งจากฐานต่ำเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตัวเลขและมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของการส่งออกทองคำ
แต่หากไม่รวมการส่งออกทองคำจะพบว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2563 ยังคงหดตัวประมาณ 1.5% และทั้งปีนี้ TISCO ESU คาดการณ์ว่าการส่งออกไทยจะติดลบที่ระดับ 1.6%
“TISCO ESU ได้ปรับลดประมาณการส่งออกในปีนี้ลงเป็นติดลบ 1.6% จากต้นปีที่ประเมินว่าจะติดลบ 0.5% โดยอิงจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยใหม่ที่คุกคามต่อกิจกรรมของเศรษฐกิจโลกที่กระทบทั้งห่วงโซ่การผลิตและอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่อ่อนแอลง ในขณะเดียวกันก็ยังมีหลายปัจจัยสำคัญที่ยังยากจะคาดเดา เช่น วันที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้ เป็นต้น” นายคมศร กล่าว
นอกจากนี้ ผลกระทบเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจทั้งในส่วนของกิจกรรมการผลิต การขนส่ง และการเดินทางยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง เพราะธุรกิจไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ โดยจะเริ่มเห็นผลกระทบอย่างแท้จริงผ่านทางตัวเลขเศรษฐกิจได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2/2563 ก็มีโอกาสที่ TISCO ESU จะปรับประมาณการจีดีพีลงอีกได้ จากปัจจุบันประเมินว่าในปี 2563 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในระดับ 1.7%
ขณะที่ด้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น TISCO ESU ยังคงจับตาดูการประมาณจีดีพี ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะเผยแพร่ในวันที่ 25 มีนาคม 2563 นี้ เพราะจะเป็นสิ่งที่ชี้นำต่อการเคลื่อนไหวของ ธปท. โดยหากประมาณการบ่งชี้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอมากขึ้น ก็มีโอกาสที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นอีกอย่างช้าไม่เกินไตรมาส 2 นี้