GoBear ตั้งเป้าปี 63 เป็นตัวแทนเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย
นางอชิรญา ภวะคงบุญ, Country Director บริษัท โกแบร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จของโกแบร์ ว่า “ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา โกแบร์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการขยายฐานลูกค้า ซึ่งได้ผลตอบรับค่อนข้างดี มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง ดังนั้นในปีนี้ โกแบร์จึงมีเป้าหมายในการต่อยอดอีโคซิสเต็ม และเพิ่มรูปแบบการทำธุรกิจให้ครอบคลุมและครบวงจรมากยิ่งขึ้น เพื่อการก้าวสู่ปีที่ 5 ของโกแบร์ในประเทศไทย
ในส่วนกลยุทยธ์หลักของปีนี้ โกแบร์ ประเทศไทย จะขยายตลาดเข้าสู่ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ประมาณปลายปี 2563 และจะมีการเปิดตัวพาร์ทเนอร์ใหม่ ครอบคลุม ตั้งแต่ประกันวินาศภัย ประกันชีวิต และสถาบันทางการเงิน ซึ่งพาร์ทเนอร์ใหม่จะมีตั้งแต่ระดับประเทศและระดับโลก ที่จะมาช่วยทำให้โกแบร์แข็งแกร่งมากขึ้น และยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลายขึ้น ได้แก่ การเป็นโบรกเกอร์ประกัน เพื่อตอกย้ำความเป็น 1-stop-service Financial Supermarket ทางการเงินที่ครบวงจร และยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ จากพาร์ทเนอร์อีกด้วย ในปีนี้ โกแบร์ยังคงทำการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในเรื่องการเงิน และใช้บริการทางการเงินออนไลน์อยู่เป็นประจำ
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โกแบร์ส่งโอกาสทางการขายให้กับพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทประกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ การเดินทางหรือประกันชีวิต มากกว่า 50 ราย คิดเป็นมูลค่าเบี้ยประกัน มากกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังส่งต่อโอกาสทางการขายมากกว่า 3 ล้านโอกาส ให้กับสถาบันทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อประเภทต่างๆ ส่วนในปี 2563 โกแบร์คาดหวังจะส่งต่อโอกาสในการขายเบี้ยประกันมากกว่า 3,000 ล้านบาทให้กับพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัทประกัน
นางอชิรญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีที่ผ่านมา จากเป้าหมายของโกแบร์ที่ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้า และพัฒนาผลิตภัฒฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด โกแบร์จึงได้จัดแคมเปญสำคัญๆ อาทิ การจัดสัมมนา “GoBear Fin Detective #สืบฟินวินทุกเรื่องเงิน” เป็นการเปิดดัชนีชี้วัดสุขภาพทางการเงิน หรือ GoBear Financial Health Index ที่บริษัทร่วมกับ องค์กรวิจัย Kadence International เพื่อกระตุ้นให้คนไทยใส่ใจกับความรู้ด้านการเงิน มีการวางแผนชีวิตและการเงินหลังเกษียณ
เนื่องจากผลสำรวจพบว่า คนไทย 5 กลุ่มอายุ จำนวน 1,000 คน ได้แก่ กลุ่มอายุ 18-25 กลุ่มอายุ 26-35 กลุ่มอายุ 36-45 กลุ่มอายุ 46-55 และกลุ่มอายุ 56-65 พบว่า ร้อยละ 50 ของคนไทยไม่ลงทุน เนื่องจากไม่มีเงินเหลือพอค่าใช้จ่าย อีกร้อยละ 20 ไม่คุ้นเคยกับการลงทุน และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และ 17% คิดว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเกินไป และคนไทยส่วนใหญ่มีเงินออมไว้ใช้ไม่ถึง 6 เดือน และ ร้อยละ 66 จะมีเหตุติดขัดเรื่องการเงินเสมอในรอบหนึ่งปี สำหรับการวางแผนเกษียณ คนไทยอยากจะเกษียณให้เร็วขึ้น แต่ยังขาดการวางแผน เพราะฉะนั้นโกแบร์จึงเข้ามาให้ความรู้และผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ โกแบร์ยังได้จัดโรดโชว์ออกไปหากลุ่มลูกค้าในย่านชานเมืองและนอกกรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 ภาค และยังปล่อยวีดีโอ GoBear Classroom 3 ตอน เพื่อให้ความรู้และคำแนะนำทางการเงินกับคนไทย โดยตอนที่ 1 จะเน้นเรื่องการออม ตอนที่ 2 เป็นการลงทุนขั้นพื้นฐาน ตอนที่ 3 เป็นเคล็ดลับการทำสินเชื่อ โดยสื่อสารตรงกับกลุ่ม millennial และ digital native ผ่านสื่อโซเชี่ยล ได้แก่ เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และ พันทิป เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 1.7 ล้านผู้ใช้งานบนสื่อออนไลน์และมียอดเอ็นเกจเม้นท์กว่า 1 แสนเอ็นเกจเม้นท์ ซึ่งปีนี้ โกแบร์จะเดินหน้าขยายช่องทางการสื่อสาร สร้างการรับรู้กับกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อโซเชี่ยลใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ โกแบร์ ก่อตั้งเมื่อต้นปี 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยเริ่มจากไอเดียที่คิดว่าอยากจะทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันและการเงินง่ายต่อความเข้าใจ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ผู้ใช้งานมีความมั่งคง มั่นคั่ง และยั่งยืนทางการเงิน ผ่านการให้ความรู้ ให้เครื่องมือ และรวบรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินไว้ที่เดียว โดยโกแบร์เข้ามาไทยในเดือนตุลาคม ปี 2015 ตลอดที่ผ่านมา โกแบร์มีผู้ลงทุน 2 ราย ที่ได้ลงทุนเพิ่มทุกรอบการลงทุน ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีและความมั่นใจของผู้ลงทุน โดยเงินลงทุนทั้งหมด 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน โกแบร์ทำตลาดอยู่ใน 7 ประเทศทั่วเอเชีย คือ ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และ ไทย มีคนเข้าเว็บไซต์มากกว่า 40 ล้านคนตั้งแต่ก่อตั้ง และมีบริการในการหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากกว่า 1,800 รายการ มีพาร์ทเนอร์มากกว่า 100 ราย ทั้ง 7 ประเทศ โกแบร์มีพนักงานมากกว่า 180 คน ประกอบด้วยพนักงาน 26 เชื้อชาติ สัดส่วนผู้หญิง:ผู้ชาย คือ 50:50 โกแบร์เป็นบริษัทที่ให้ความเท่าเทียม และให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันโดยไม่แบ่งแยก” นางอชิรญา กล่าวทิ้งท้าย