สรรพสามิตเข้ม"หนี้เสีย"รถคันแรก ตั้งวอร์รูมตามบี้เอาภาษีคืน

สรรพสามิตเข้ม"หนี้เสีย"รถคันแรก ตั้งวอร์รูมตามบี้เอาภาษีคืน

สรรพสามิตเข้ม"หนี้เสีย"รถคันแรก ตั้งวอร์รูมตามบี้เอาภาษีคืน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อประสานงานกับบริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อรถในโครงการรถคันแรก


เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์ผ่อนชำระค่างวดที่อาจมีผู้เข้าร่วมโครงการประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตามปกติและถูกยึดรถ เพื่อให้กรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการเรียกคืนเงินภาษีจากผู้เข้าร่วมโครงการ

"กรมสรรพสามิตได้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลโครงการรถคันแรกให้ตั้งเป็นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังในโครงการรถยนต์คันแรก เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหากเกิดหนี้เสียจากโครงการนี้จะได้ประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนให้กับรัฐบาลได้" นายสมชายกล่าว

นายจุมพล ริมสาคร รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กล่าวว่า ตั้งแต่ครบรอบ 1 ปีของโครงการรถคันแรกวันที่ 1 กันยายน 2555

ที่เริ่มมีการคืนเงินผู้ซื้อรถที่เข้าร่วมโครงการนั้น บริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งที่เข้าร่วมโครงการได้แจ้งยอดหนี้เสียที่เกิดขึ้นจากการขาดส่งค่างวดเกิน 3 เดือนเข้ามาแล้วประมาณ 10 กว่าราย

ซึ่งกระบวนการต่อไปทางกรมสรรพสามิตจะตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนประสานงานกับกรมบัญชีกลางเพื่อเรียกเงินคืนต่อไป

ขณะเดียวกัน ศูนย์ติดตามเฝ้าระวังโครงการรถคันแรกได้ประสานงานกับบริษัทลีสซิ่งมาอย่างต่อเนื่องเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการหรือลูกค้าของลีสซิ่งที่มีความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดได้จริง

ถือเป็นการสกรีนลูกค้าในเบื้องต้นก่อนให้เข้าร่วมโครงการ โดยเท่าที่มีรายงานเข้ามานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรถคันแรกมีหนี้เสียเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% โดยคาดว่าโครงการรถคันแรกอาจมีหนี้เสียอยู่บ้าง แต่คงไม่เท่ากับกลุ่มลูกค้าปกติของลีสซิ่ง

"ขั้นตอนในการติดตามเรียกคืนเงินภาษีนั้นศูนย์ติดตามเฝ้าระวังรถคันแรกของกรมสรรพสามิตเมื่อได้รับแจ้งจากลีสซิ่งแล้วจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถที่เข้าร่วมโครงการก่อน 2 ครั้ง หากไม่ติดต่อกลับมาเพื่อคืนเงินภาษีก็จะส่งเรื่องไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อประสานงานร่วมกับอัยการเพื่อทำสำนวนคดีสำหรับฟ้องร้องต่อไป" นายจุมพลกล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook