คลินิกแก้หนี้ เดินสายทั่วไทย อยากเข้าร่วมต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?

คลินิกแก้หนี้ เดินสายทั่วไทย อยากเข้าร่วมต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?

คลินิกแก้หนี้ เดินสายทั่วไทย อยากเข้าร่วมต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คลินิกแก้หนี้สัญจร เดินสายทั่วไทยเริ่ม 11-17 มิ.ย. 63 พร้อมเผยเงื่อนไข-ขั้นตอนการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านออนไลน์

เว็บไซต์ thebangkokinsight รายงานถึง นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เผยว่า “โครงการคลินิกแก้หนี้บายแซม” เดินสายเปิดบูธให้คำปรึกษาผู้ที่มีปัญหาหนี้เสียสารพัดบัตร และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน หลังภาครัฐมีสัญญาณผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ระยะที่ 4 ในเร็วๆ นี้ โดยคลินิกแก้หนี้จะตั้งโต๊ะให้คำปรึกษา แนะนำประชาชนที่มีปัญหาหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ระหว่างวันที่ 11-17 มิถุนายน 2563 ตั้งแต่เวลา 11.00-18.00 น. บริเวณ ชั้น G หน้าร้าน Café Amazon ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ กรุงเทพฯ

ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ คลินิกแก้หนี้ สามารถไปพบเจ้าหน้าที่ได้ที่บูธคลินิกแก้หนี้ ตามวันและเวลาดังกล่าว และควรเตรียมเอกสารสำคัญประกอบการสมัคร ดังนี้

  1. สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน
  2. สลิปเงินเดือนย้อนหลังหรือเอกสารแสดงรายได้ย้อนหลัง 6 เดือน
  3. รายการเดินบัญชี หรือ Statement ย้อนหลัง 6 เดือน
  4. เอกสารการตรวจข้อมูลเครดิตบูโร ควรตรวจล่วงหน้าเพื่อความรวดเร็วและรู้ผลการสมัครเบื้องต้นได้ทันทีในงาน

ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติคลินิกแก้หนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการผ่อนชำระคืนเฉพาะเงินต้นเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับที่ต่ำมากเพียง 4-7% ต่อปี อีกทั้งยังผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 10 ปี

npl

นอกจากนี้ หากผ่านเกณฑ์เข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ภายในเดือนกันยายน 2563 ยังได้รับเงื่อนไขพิเศษลดดอกเบี้ยจนถึงงวดเดือนกันยายน 2563 ให้อีก 2% ด้วย คือจากเดิม 4-7% จะเหลือเพียง 2 – 5% เท่านั้น รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามคลินิกแก้หนี้ได้โดยตรงที่ Call Center 02-610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. หรือสมัครผ่านเว็บไซต์ หรือ แอดไลน์ @debtclinicbysam หรือ Facebook คลินิกแก้หนี้ รวมทั้งติดตามเกร็ดความรู้ดีๆ ได้ที่ Debtclinicbysam บน YouTube

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับน่ากังวลใจ และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มไม่สดใสนัก ธปท. เห็นว่า การแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชนเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญในปี 2563 เมื่อดูข้อมูลภาระหนี้ต่อเดือนของครัวเรือนไทยพบว่าประมาณ 40% เป็นหนี้ส่วนบุคคลเพื่ออุปโภคบริโภค ที่ระยะเวลาผ่อนสั้นและมีอัตราดอกเบี้ยแพง ซึ่งหนี้บัตร ทั้งบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดถือเป็นลูกหนี้ส่วนใหญ่ของหนี้กลุ่มนี้

ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2560 สถาบันการเงินสมาชิก บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ ธปท. ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้หนี้ครัวเรือนผ่าน “โครงการคลินิกแก้หนี้” ซึ่ง ณ ธันวาคม 2562 คลินิคแก้หนี้สามารถช่วยประชาชนแก้หนี้บัตรไปแล้ว 3,194 ราย ครอบคลุมบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดกว่า 13,000 ใบ มีหนี้บัตรเฉลี่ยรายละ 3 ใบ มูลหนี้เฉลี่ยต่อราย 234,843 บาท ในจำนวนนี้ 72 รายชำระหนี้หมดแล้ว สามารถหลุดจากวงจรหนี้บัตร

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโครงการ คลินิกแก้หนี้ เดินหน้าเข้าสู่ “ระยะที่ 3” โดยได้ขยายขอบเขตให้สามารถแก้ไขหนี้บัตรที่มีเจ้าหนี้รายเดียว และหนี้บัตรที่อยู่ในกระบวนการของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว รวมทั้งปรับปรุงคุณสมบัติผู้เข้าโครงการจากเดิมต้องมีหนี้บัตรที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 มาเป็นวันที่ 1 มกราคม 2563กล่าวคือ หลังจากที่ปลดข้อจำกัดเรื่องต่างๆ แล้ว โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 3 สามารถช่วยแก้ปัญหาหนี้บัตรของประชาชนได้ในแทบทุกกลุ่ม

ถึงแม้ว่าโครงการคลินิกแก้หนี้จะเดินหน้าเข้าสู่ระยะที่ 3 แล้ว ธปท. ขอเน้นย้ำ ความพิเศษของโครงการคลินิกแก้หนี้อย่างน้อยใน 2 มิติ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาหนี้บัตร กล่าวคือ

  1. SAM ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ช่วยเจรจาและประสานงานระหว่างเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ทำให้การแก้ปัญหาหนี้บัตรที่อาจมีเจ้าหนี้หลายรายเกิดขึ้นได้ ซึ่งปกติเวลามีเจ้าหนี้หลายรายการเจรจาให้สำเร็จเบ็ดเสร็จเกิดขึ้นยาก โครงการจะช่วยให้รวมหนี้ให้เบ็ดเสร็จ ลูกหนี้จะไม่ถูกทวงจากเจ้าหนี้หลายราย รวมทั้งจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและปรับโครงสร้างหนี้
  2. ลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ผ่อนปรนเป็นพิเศษ คือ ผ่อนเฉพาะเงินต้น โดยมีระยะเวลาผ่อนนานถึง 10 ปี ซึ่งปกติถ้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เดิมอาจถูกเรียกให้จ่ายคืนภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 6 เดือน การไม่เร่งรัดและให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานเพียงพอ หมายความว่า ยอดที่ต้องผ่อนต่อเดือนจะไม่สูง เช่น ถ้ามีหนี้ 5หมื่น และ 1 แสนบาท ยอดผ่อนต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 600 และ 1,200 บาทเท่านั้น และ เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นตามสัญญาจะยกดอกเบี้ยค้างชำระให้ทั้งหมด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook