"สรรพากร"ยุคใหม่สุดเจ๋ง เตรียมเปิดตัวให้ยื่นภาษีเงินได้ผ่านมือถือ

"สรรพากร"ยุคใหม่สุดเจ๋ง เตรียมเปิดตัวให้ยื่นภาษีเงินได้ผ่านมือถือ

"สรรพากร"ยุคใหม่สุดเจ๋ง เตรียมเปิดตัวให้ยื่นภาษีเงินได้ผ่านมือถือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ว่ากลางเดือนมีนาคมนี้กรมสรรพากรจะเปิดตัวการยื่นแบบชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านทางโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน

หลังจากที่ได้ทดลองระบบมาระยะเวลาหนึ่งและมั่นใจในการให้บริการที่รวดเร็ว เข้าใจง่าย และมีความปลอดภัยสูงเท่าเทียมกับการทำธุรกรรมทางการการเงินกับธนาคารพาณิชย์ผ่านทางมือถือ

โดยเชื่อว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกและตัวกระตุ้นให้ผู้ชำระภาษีหันมายื่นแบบทางมือถือกันมากขึ้นเรื่อยๆ และในปีหน้าอาจจะมากกว่าการยื่นแบบทางอินเตอร์เน็ตด้วยซ้ำ

"การยื่นแบบชำระภาษีทางมือถือนั้น ทางกรมริเริ่มพัฒนามาตั้งแต่กลางปีก่อน และรอให้ระบบสมบูรณ์จริงค่อยนำมาใช้ แม้ปีนี้จะเปิดตัวช้าแต่ก็ยังมีเวลาให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทดลองใช้ระบบอีกประมาณครึ่งเดือน ถือเป็นก้าวแรกที่ดี

และเป็นการทดลองระบบไปในตัว ปีหน้าจะพัฒนาแอพพ์ให้ใช้งานง่ายขึ้น มีความเป็นกันเองมากขึ้น หรือมีรูปประกอบให้ดูน่าสนใจกว่านี้ ซึ่งในอนาคตมองว่าจะมาแทนที่การยื่นแบบปกติและยื่นทางอินเตอร์เน็ตปกติด้วยซ้ำ

เพราะปัจจุบันผู้เสียภาษีของกรมก็น่าจะใช้สมาร์ทโฟนกันเกือบทั้งหมดแล้ว" นายสาธิตกล่าว

ส่วนการยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้ทางอินเตอร์เน็ตนั้นขณะนี้มียอดผู้ใช้บริการเข้ามามากกว่าปีก่อน จึงเชื่อว่าปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 7.5 ล้านคน จากจำนวนผู้เสียภาษีทั้งหมด 10 ล้านคน

ซึ่งต้นปีกรมมีปัญหาในการพิมพ์แบบ ภ.ง.ด.ส่งให้ตามบ้านได้ล่าช้าเพราะมีการปรับแบบใหม่ให้สิทธิภรรยาและสามีสามารถแยกยื่นได้ทั้งหมด หรือแยกยื่นบางส่วน ซึ่งขณะนี้แบบดังกล่าวจัดทำและจัดส่งไปตามบ้านเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้น กรมสรรพากรอยู่ระหว่างเร่งพัฒนาระบบไอทีในการเชื่อมโยงใบกำกับภาษีทั้งระบบ โดยจะใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท จากจำนวน 2,000 ล้านบาทที่ได้รับอนุมัติให้กู้เงินมาใช้ในโครงการ

ซึ่งจะทำให้กรมสามารถตรวจสอบใบกำกับภาษีได้ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง เชื่อว่าจะทำให้ได้เม็ดเงินภาษีคืนมาอย่างต่ำ 1 แสนล้านบาท และหากระบบเสร็จสมบูรณ์ 100% ก็น่าจะได้เงินเข้ามาไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาท

ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยเชื่อว่ากว่าระบบไอทีจะนำมาให้บริการได้คงใช้เวลาประมาณ 1 ปี ส่วนงบที่เหลืออีกพันล้านบาทจะนำมาพัฒนาระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ออกบัตรให้สะสมแต้มหากมีการชำระรายการสินค้าและบริการด้วยเงินสด

และสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้เหมือนในประเทศเกาหลีใต้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook