กระทิงแดง กับตำราความรวยตระกูล "อยู่วิทยา" ที่ขึ้นแท่นรวยมหึมามหาเศรษฐีเบอร์ต้นของไทย
ตระกูลอยู่วิทยา ผู้ครองอาณาจักรกระทิงแดง ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในอภิมหาเศรษฐีไทยที่รวยเบอร์ต้นๆ ด้วยทรัพย์สินกว่าแสนล้านบาท
เมื่อเอ่ยถึงเครื่องดื่มชูกำลังเอาใจกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ที่ใช้สโลแกนว่า "เป้าหมายมีไว้พุ่งชน" เชื่อว่าหลายคนคงร้องอ๋อกันแล้วใช่มั้ยล่ะ?
ใช่แล้ว! เรากำลังพูดถึง "กระทิงแดง" แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญที่หล่อเลี้ยงตระกูล "อยู่วิทยา" มาหลายทศวรรษ ถ้าให้ลองลำดับนับเป็นญาติเล่นๆ ก็เรียกเป็น "ลุง" ได้เลย
อยากรู้มั้ย...กว่าจะเป็นเครื่องดื่มกระทิงแดงทุกวันนี้ผ่านจุดพีคอะไรมาบ้าง Sanook Money ได้สรุป 3 จุดพีคเปลี่ยนชีวิตตระกูลอยู่วิทยามาฝากกัน
พีคแรก: เจ้าของกระทิงแดงเป็นเซลล์แมนขายยามาก่อน
เมื่อ พ.ศ. 2499-2510 นายเฉลียว อยู่วิทยา เริ่มต้นด้วยการเป็นเซลล์แมนขายยา และสะสมชั่วโมงบินมาหลายปีก่อนตัดสินใจลาออกมาตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล เพื่อคิดค้น ผลิต และขายยาเอง
พีคที่สอง: ชิมลางเครื่องดื่มชูกำลังชิงพื้นที่สื่อยับดังในพริบตา
เมื่อ พ.ศ. 2511-2520 นายเฉลียว ขยับมาชิมลางเครื่องดื่มชูกำลังดัวยการผลิต "กระทิงแดง" ในนาม บริษัท ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด โดยเน้นการตลาดกระชากใจผู้บริโภคทั้ง "ลด-แลก-แจก-แถม" ชิงพื้นที่สื่อทุกแขนงจนทำให้เป็นที่รู้จักภายในเวลาอันรวดเร็ว
พีคที่สาม: ชาวออสเตรียหายเจ็ตแล็กเพราะกระทิงแดง
เมื่อ พ.ศ. 2521-2530 นายดีทริช เมเทสซิทซ์ (Dietrich Mateschitz) นักธุรกิจชาวออสเตรีย ดื่ม "กระทิงแดง" แก้อาการเจ็ตแล็ก (Jet lag) ในระหว่างที่เดินทางมาพักผ่อนในเมืองไทย และสนใจพากระทิงแดงไปขายในต่างประเทศในรูปแบบกระป๋อง โดยร่วมกับนายเฉลียว ตั้งบริษัท เรดบูล จีเอ็มบีเอช (Red Bull GmbH) โดยถือหุ้นคนละ 49% ส่วนอีก 2% ที่เหลือให้นายเฉลิม อยู่วิทยา ลูกชายของนายเฉลียว
ด้วยสัดส่วนในการถือหุ้นของ Red Bull นั้น จึงไม่แปลกใจที่ทำให้นายดีทริช และตระกูลอยู่วิทยา มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยปี 2562 กระทิงแดงมียอดขาย 7.5 พันล้านกระป๋องทั่วโลก สร้างเม็ดเงินมากถึง 6.067 พันล้านยูโร (คิดเป็นเงินไทย 223,490 ล้านบาท)
ทีนี้เรามองลองดูความร่ำรวยของ นายเฉลิม อยู่วิทยา ผู้ถือหุ้น Red Bull เพียง 2% กันว่ามีสินทรัพย์มากขนาดไหน? โดยการจัดอันดับมหาเศรษฐีไทยของ Forbes Thailand พบว่า เขามีทรัพย์สินมากถึง 2.02 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 6.6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว