เศรษฐา ทวีสิน "ผมไม่เคยก๊อบปี้ชีวิตใคร เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด"
"เศรษฐา ทวีสิน" นักธุรกิจชื่อดังแห่งแวดวงอสังหาริมทรัพย์ นำพาแบรนด์ "แสนสิริ" ครองตลาดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ เริ่มขยับขยายฐานมาสู่ลูกค้าระดับล่าง เป็นหนึ่งในบิ๊กแบรนด์ที่ยืนแถวหน้าในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย
เขาจบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงิน จาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา สมรสกับแพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญความงามด้านผิวพรรณ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง มีบุตรด้วยกัน 3 คน
ล่าสุดเพิ่งจะจัดอีเวนต์ใหญ่ปิดพารากอนฮอลล์เปิดตัวโครงการใหม่อย่างยิ่งใหญ่ถึง 44 โครงการ ในชื่อ "แสนสิริ ไลฟ์คัมส์โฮม" ลูกค้าเก่าลูกค้าใหม่ต่างมาเข้าคิวรอกันตั้งแต่ประตูยังไม่ทันเปิด
ในงานนี้บิ๊กบอสค่ายแสนสิริยังเปิดโอกาสให้สื่อวงเล็กร่วมกันซักถามถึงทิศทางธุรกิจ พร้อมกับพาเดินชมบูทคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรรของแสนสิริ ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงและหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด
แต่ระหว่างนั้นมีสายเข้าและข้อความส่งมายังเครื่องแบล็คเบอร์รี่กับไอโฟนของบิ๊กบอสแสนสิริแบบถี่ยิบแถมเจ้าตัวยังอมยิ้มระหว่างอ่านข้อความหัวเราะขณะรับสาย ทั้งสีหน้าและแววตาเป็นสุขล้น
เศรษฐา ทวีสิน หนุ่มใหญ่นักธุรกิจผู้นี้เล่าว่า เขาเป็นนักเดินทาง ต้องเดินทางไปดูงานเองทั้งหมด ตั้งแต่ซื้อที่ดิน การก่อสร้าง ตรวจดูห้องตัวอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ต่างจังหวัด หรือบินไกลถึงต่างประเทศ หากเป็นงาน ไกลแค่ไหนก็ต้องไป
ส่วนที่ว่าจะชอบเดินทางหรือไม่นั้น เจ้าตัวบอกว่า "ไม่ชอบก็ต้องชอบ เพราะเป็นงาน ต้องพยายามให้สนุก ทุกอย่างก็ต้องไปดูเองหมด"
หากเป็นไปได้ การเดินทางแต่ละครั้งของนักธุรกิจผู้นี้จึงแสวงหาเป้าหมายที่มากกว่า 1 นั่นคือการเพิ่มตารางกิน เที่ยว ชม
ในบางโปรแกรมที่คอนโทรลได้ ถ้าไปลอนดอน เศรษฐาจึงไม่พลาดแวะเข้าสนามฟุตบอลชมการแข่งขันของทีมอาร์เซนอล เชลซี และแมนฯซิตี้
"ผมแพลนไว้ก่อนตลอด อย่างเวลาไปโรดโชว์ในเมืองนอก ผมจะกินอาหารร้านไหน ต้องจองไว้ก่อนแล้ว เพราะเวลาไปฟังเรื่องกองทุน 7-8 กองทุนพูดเหมือนกันหมด ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนห้าโมงเย็น (แย่กว่าเจอพวกคุณอีก)
เพราะเวลาไปแบบนี้จะเหนื่อย ก็ต้องคิดว่าจะไปทำอะไรได้บ้าง เป็นของแถมระหว่างทำงาน"
นอกเหนือจากแวะสนามฟุตบอลแล้ว เศรษฐายังชื่นชอบงานศิลปะ เลี้ยวเข้าพิพิธภัณฑ์อยู่บ่อยครั้ง และตีตั๋วเข้าชมละครบอร์ดเวย์อยู่เป็นประจำ ยกเว้นละครเวทีไทย
ไลฟ์สไตล์ของบอสแสนสิริสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นคนช่างเลือก พิถีพิถันเพียงใดนั้น ดูได้จากมุมมองการดึงศิลปิน ดีไซเนอร์ระดับโลก ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบงานโฆษณาของแบรนด์แสนสิริ เพราะต้องการความแปลกใหม่ ตื่นเต้น
ไม่เน้นดาราดังมาชูแบรนด์แบบค่ายอื่น ๆ
"ผมต้องศึกษา อย่างดีไซเนอร์ที่ทำโฆษณาให้กับแสนสิริ "ฌอง ฟิลิปป์ เดอลอมม์" (อินลัสเตรเตอร์ระดับโลก) ผมได้ไปดูโฆษณาของเขาฉายที่นิวยอร์ก ขายโรงแรมชื่อเดอะมาร์ก ผมก็ชอบ จากนั้นเราก็คุยกับเอเยนซี่ ก็ไปติดต่อมาทำให้แสนสิริ ค่าตัวหลายล้าน"
ส่วนเรื่อง "การกิน" บอสอสังหาฯไฮโซกลับบอกว่า "ผมกินได้หมดครับ ข้าวแกงข้างถนนก็กินได้ แต่ผมไม่กินอย่างเดียว อาหารไม่อร่อย"
- เคล็ดการบริหารธุรกิจ
"ผมไม่มีเคล็ดลับอะไร มีแต่โปรโมตจากคนใน ไม่เอาคนนอก ถ้าเอาคนนอกมา แล้วคนในที่กำลังจะโต อยู่กับเรามา 10 ปี จะแฮปปี้มั้ย ? ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย ถ้าอยู่ดี ๆ ไปเอาคนจาก
ที่อื่นมา จะทำให้สูญเสียวัฒนธรรมองค์กร ผมไม่ยอม"
- ปรัชญาการทำธุรกิจ
"ไม่มีครับ แบรนด์ผมก็เป็นแบบนี้ สไตล์การทำธุรกิจของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ผมตอบไม่ได้ว่าของผมเป็นแบบไหน ผมไม่ได้กวนนะ (จากนั้นยกขวดน้ำขึ้นมาส่งให้ผู้สื่อข่าวจับ แล้วถามว่า น้ำขวดนี้เย็นหรือไม่เย็น ?)
แสนสิริไม่ยึดติดกับบุคคล ผมตายไปแล้วก็ยังอยู่ เราเป็นสถาบัน ผมสร้างมาเพื่อให้ยั่งยืน การโปรโมตคนภายในถือว่าเป็นปรัชญาอย่างหนึ่ง"
- อยากให้ลูกสืบทอดกิจการมั้ย
"ไม่ครับ ผมไม่มีความอยาก ผมอยากอะไรไม่สำคัญ ชีวิตเขาเขาต้องเป็นคนตัดสิน ลูกคนโตเรียนจนจบ แล้วทำงานที่เมืองนอก"
ถึงปริมาณงานจะรัดตัวขนาดไหน นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ร่างสูงใหญ่ (ส่วนสูง 191 ซม.) วัย 50 กะรัตกว่า ๆ ยังดูสมาร์ท นั่นเพราะเป็นคนชอบออกกำลังกายเป็นประจำในยามว่าง และชื่นชอบการเตะฟุตบอลเป็นที่สุด เล่นประจำทุกตำแหน่ง ยกเว้น "ศูนย์หน้า"
- บุคลิกภายนอกดูเป็นคนขึงขัง จริงจัง และเครียด
"ผมพูดตรงไปตรงมา ไม่เครียด แต่ตอนนี้เครียด ขี้เกียจตอบคำถาม เหนื่อยด้วย เป็นหวัดด้วย ร้อนด้วย แต่ถามได้ ไม่เป็นไร"
- เวลาเจรจาธุรกิจ ต้องปรับบุคลิกไหม
"คนชอบแบบนี้ก็เยอะ ผมก็เป็นอย่างงี้แหละ ผมตอบคำถามที่เป็นหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตไม่เป็น ผมไม่เคยก๊อบปี้ชีวิตใคร เป็นตัวของตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่เกิด และไม่ต้องถามว่าใครเป็นไอดอลในชีวิต ผมใช้คอมมอนเซนส์"
สิ่งหนึ่งที่ได้ยินจากปากคนที่ตรงไปตรงมาคล้ายจะดุดัน แต่เมื่อเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 เขากลับกล่าวออกมาอย่างสุภาพ "ขอโทษนะ" ก่อนเอ่ยคำว่า "ประเทศด้อยพัฒนา" ออกมาอันเป็นบุคลิกของนักธุรกิจผู้นี้ที่ยืนยันว่า
"ผมเป็นคนประนีประนอม ไม่ชอบใครไม่ต้องอยู่ใกล้ ไม่ต้องไปด่าเขาให้ร้ายเขา ต่างคนต่างอยู่ ก็จบ"
ก่อนจะตัดพ้อเรื่องที่ตกเป็นเหยื่อถูกโยงเกี่ยวข้องกับการเมือง เพียงเพราะเป็นเพื่อนสนิทกับผู้ชายที่ชื่อ "โต้ง" กิตติรัตน์ ณ ระนอง ขุนพลเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย