YLG แนะนักลงทุนจับจังหวะเก็งกำไร ช่วงทองปรับฐานระยะสั้น

YLG แนะนักลงทุนจับจังหวะเก็งกำไร ช่วงทองปรับฐานระยะสั้น

YLG แนะนักลงทุนจับจังหวะเก็งกำไร ช่วงทองปรับฐานระยะสั้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ระบุ ช่วงต้นเดือน ก.พ. 64 ราคาทองคำในตลาดโลกค่อนข้างแกว่งตัว และมีทิศทางปรับฐานในระยะสั้น สาเหตุมาจากผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าอย่างต่อเนื่องนับแต่ต้นปี 2564 หลังจากที่เคยอ่อนค่าอย่างหนักในปี 2563 เนื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนในสหรัฐมีปัจจัยบวกเรื่องของการส่งมอบวัคซีนได้ในจำนวนมาก ขณะที่สหภาพยุโรปกลับมีข่าวการเลื่อนการส่งมอบวัคซีนออกไปจึงทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่า เป็นปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า รวมถึงนักลงทุนยังเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินปลอดภัย

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับลดลงมาจาก Chicago Mercantile Exchange (CME) เป็นตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และสัญญาฟิวเจอร์สขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศเรียกเพิ่มอัตราวางหลักประกัน ( maintenance margin) เพื่อสะกัดการปั่นราคาของกลุ่มนักลงทุนรายย่อยในตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวเกี่ยวกับนักลงทุนรายย่อยที่เข้าไปดันราคาหุ้น Gamestop ได้เข้ามาดันราคาโลหะเงิน

อย่างไรก็ดี หลังจาก CME ได้ประกาศการเพิ่มเงินวางหลักประกันทำให้ราคาโลหะเงินปรับลดลงมาหลังจากที่ก่อนหน้าได้พุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปี ส่งผลต่อราคาทองคำเช่นกัน แม้ว่านักลงทุนรายย่อยจะเริ่มเบนเข็มออกจากการเข้าไปดันราคาโลหะเงินแล้วแต่ก็ยังต้องจับตามองว่าราคาโลหะเงินจะปรับลดลงต่อหรือไม่ ส่วนมาตรการวางหลักประกันเพิ่มนั้นเชื่อว่าจะเกิดขึ้นแค่ในระยะสั้น

แม้ราคาทองคำจะมีแนวโน้มพักฐานในระยะสั้น แต่ระยะยาวยังมีสัญญาณไปต่อ โดยระหว่างวันก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงค่อนข้างกว้าง จึงเป็นโอกาสให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้นได้ แต่ต้องตั้งจุดตัดขาดทุน ในช่วงสั้นๆจะยังเห็นการปรับตัวลงอยู่

สำหรับนักลงทุนระยะกลางระยะยาวสามารถทะยอยซื้อได้ถ้าหากปรับลงมาที่แนวรับ 1,818 -1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 25,800 - 25,550 บาทต่อบาททองคำ ส่วนแนวต้านที่สามารถขายทำกำไรระยะสั้นอยู่ที่ 1,856 -1,875 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 26,400 -26,650 บาทต่อบาททองคำ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook