ไข่มุกเมโล อัญมณีสุดเลอค่าแห่งทะเล กับราคาที่อาจทำตาแทบหลุดจากเบ้า!
ราคามุกเมโล อัญมณีสุดเลอค่าแห่งท้องทะเล กับเหตุผลที่เหล่านักสะสมระดับมหาเศรษฐีพร้อมใจกันทุ่มเงินมากกว่า 6 หลักเพื่อครอบครอง
สาวสตูลปลื้ม! สั่งหอยโข่งทะเลมากิน เจอ "มุกเมโล" ขนาดเท่าลูกแก้ว
ตั้งแต่ต้นปี 2564 เรามักจะเห็นสื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวเกี่ยวกับชาวบ้านในพื้นที่ภาคใต้พบไข่มุกเมโลสีส้มสดใสทั้งโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม สร้างความสนใจให้กับเหล่านักสะสมระดับมหาเศรษฐีที่บางรายลั่นจะบินมาไทยเพื่อขอซื้อมุกเมโลในราคานับสิบล้านบาทเลยทีเดียว อยากรู้หรือเปล่า มุกเมโลเกิดจากอะไร และสาเหตุที่ทำให้ไข่มุกเมโลสีส้มถูกตีเป็นมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ Sanook Money มีข้อมูลจาก Gem and Jewelry Library มาฝากกัน
เว็บไซต์ Gem and Jewelry Library ได้อธิบายว่า มุกเมโล (Melo Pearls) หรือที่เรียกว่าไข่มุกหอยสังข์ทะนาน เป็นไข่มุกธรรมชาติสีส้มพาสเทลเกิดขึ้นจากหอยทากทะเลขนาดใหญ่ หนึ่งในบรรดาไข่มุกที่หายากและมีราคาแพงที่สุด เพราะหอยสังข์ทะนาน เพียง 1 ในหลายพันตัวเท่านั้นที่จะพบไข่มุกที่มีคุณภาพระดับที่ใช้เป็นอัญมณีได้ รวมถึงโอกาสที่จะเจอไข่มุกมีเฉดสีส้มที่สมบูรณ์แบบยิ่งมีน้อยลงตามไปด้วย
อันที่จริงแล้ว มุกเมโล เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับไข่มุกชนิดอื่นๆ คือ เมื่อมีเศษทรายเล็กๆ หรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในตัวของหอยและเกิดการระคายเคือง หอยสังข์ทะนานจะหลั่งสารประกอบคาร์บอเนตมาล้อมรอบสิ่งแปลกปลอมนั้นไว้ มีลักษณะเป็นชั้นผลึกที่เป็นเส้นๆ ค่อยๆ กลายเป็นไข่มุกเมโล เช่นเดียวกับไข่มุกหอยสังข์ราชินี แต่ไข่มุกเมโล ยังไม่สามารถผลิตได้ด้วยการเพาะเลี้ยงด้วยฝีมือมนุษย์ เท่ากับว่า ไข่มุกชนิดนี้เกิดได้เองตามธรรมชาติเท่านั้น จึงทำให้ไข่มุกชนิดนี้ “หายาก” และเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก แต่เมโลเพิร์ลอันเป็นที่ปรารถนามากที่สุดของนักสะสมทั้งหลาย คือเมโลเพิร์ลสีส้มสดใสที่มีริ้ว “เปลวไฟ” บนผิวที่ชัดเจน
สำหรับคาแรคเตอร์ของไข่มุกเมโลนั้นมีรายละเอียดดังนี้
- รูปแบบ (Formation)
- ไข่มุกเมโลนั้นไม่มีชั้นมุกเป็น (Non-Nacreous) เหมือนกับไข่มุกทั่วไป แต่เกิดขึ้นจากการผสมกันระหว่าง แคลไซต์ (Calcite) และ อราโกไนท์ (Aragonite) ทำให้มีพื้นผิวที่เรียบเนียนเหมือนกระเบื้องเคลือบ มีความคล้ายคลึงกับไข่มุกหอยสังข์ (Conch Pearl) ซึ่งไม่มีชั้นมุกเช่นกัน
- ขนาด (Size)
- ไข่มุกเมโลมีมากมายหลายขนาด ขนาดใหญ่ก็มีเช่นกัน โดยมีรายงานว่าเคยพบไข่มุกเมโลขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากถึง 397.52 กะรัต ซึ่งมีขนาดประมาณ 3 ใน 4 เท่าลูกกอล์ฟ
- สี (Color)
- สีของไข่มุกเมโลมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อน สีส้ม ไปจนถึงสีส้มเข้มจนน้ำตาล แต่สีที่ดีที่สุดและสีที่มีมูลค่ามากที่สุดคือ สีส้ม พบในทะเลจีนใต้และทางตะวันตกของทะเลอันดามันนอกชายฝั่งประเทศพม่า ซึ่งความหายากและความพิเศษของสีในไข่มุกเมโลจะยิ่งทำให้ไข่มุกสวยงามมีเสน่ห์ และทำให้มีมูลค่าที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ข้อควรระวังก็คือ สีไข่มุกเมโลจะจางลงเมื่อโดนแสงแดดหรือแสง UV เป็นเวลานาน
- รูปทรง (Shape)
- โดยทั่วไปแล้วไข่มุกเมโลจะมีลักษณะเป็นทรงกลมอย่างสมบูรณ์แตกต่างจากไข่มุกหอยสังข์ (Conch Pearl) ที่พบได้ทุกรูปทรง ไข่มุกเมโลมักไม่ค่อยพบในรูปทรงอื่นๆ แต่บางครั้งอาจพบรูปทรงที่เป็นวงรีอยู่บ้าง
- ความแข็งและความคงทน (Hardness and Durability)
- ไข่มุกเมโลมีความแข็งกว่าไข่มุกทั่วไป คือมีค่าความแข็งเท่ากับ 2.5 – 4 ตามสเกลของโมส์ ซึ่งทำให้มุกชนิดนี้เป็นอัญมณีที่มีความทนทาน และสามารถอยู่ได้นานมากกว่า 5 ปี หากได้รับดูแลอย่างสม่ำเสมอ
- ความมันวาว (Luster)
- ความแวววาวของไข่มุกเมโลนั้น มีความเรียบเนียน สะท้อนแสงดูนุ่มนวลเหมือนกับกระเบื้องเคลือบ คุณลักษณะนี้เรียกว่า “Porcellaneous Luster” แต่เมื่อผ่านเวลาผ่านไปความความวาวนี้อาจลดลงหรือหายไป แต่สามารถทำให้ผิวไข่มุกมันเงาขึ้นได้อีกครั้งด้วยการขัด
- น้ำหนัก (Carat Weight)
- ไข่มุกทั่วไปส่วนใหญ่มีหน่วยวัดขนาดเป็นมิลลิเมตร แต่ไข่มุกเมโลนั้นจะมีหน่วยวัดน้ำหนักเป็นกะรัตเหมือนกับเพชร
- โครงสร้างของเปลวไฟ (Flame Structure)
- หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจที่สุดของไข่มุกเมโล นั่นก็คือ “เปลวไฟ” ที่เปล่งประกายบนผิวอันเป็นเอกลักษณ์ของ ไข่มุกเมโล มีลักษณะเหมือนกับริ้วของเปลวไฟเป็นคลื่นไปทั่วพื้นผิวของไข่มุก ซึ่งขนาด ระดับความอิ่มตัวของสี และความลึกของ "เปลวไฟ" นั้นจะขึ้นอยู่กับอายุของหอยด้วย และเมื่อมองบางมุมอาจจะสังเกตเห็นเอฟเฟกต์ตาแมว (Chatoyancy) ซึ่งยิ่งถ้ามีเปลวไฟที่เข้มและชัดเจนมากเท่าไร ไข่มุกเมโลก็จะมียิ่งมีค่าและมีราคาแพงมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับมูลค่าไข่มุกเมโลนั้น ต้องบอกเลยว่าไม่มีมาตรฐานในการประเมินราคา การตั้งราคาขึ้นอยู่กับบุคคลที่ครอบครองไข่มุก โดยจะประเมินจากคุณภาพ รูปร่าง สี ความวาว และน้ำหนัก ซึ่งในอดีตไข่มุกเมโลได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชีย ทำให้ไข่มุกเมโลบางเม็ดมีมูลค่าสูงถึงหลายพันดอลลาร์ แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไข่มุกเมโลได้กลายเป็นไข่มุกที่เหล่าบรรดานักสะสมไข่มุกจากทั่วโลกถวิลหาและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในประเทศตะวันตกมากกว่า เมื่อนำไข่มุกเมโลมาประกอบทำเป็นเครื่องประดับ ก็จะสามารถเพิ่มราคาได้สูงยิ่งขึ้นไปอีก
ไข่มุกเมโลยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภคที่นิยมสะสมอัญมณีอินทรีย์ที่หายากเหล่านี้ ทำให้ปัจจุบันมูลค่าของไข่มุกเมลโลต่อกะรัตสูงถึง 6,000 - 17,000 เหรียญสหรัฐ (คิดเป็นเงินไทย 186,180-527,510) ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไข่มุก
แต่ที่สร้างความฮือฮาให้กับไข่มุกเมโลได้มากที่สุดคือ งานประมูลจิวเวอร์รี่อันโด่งดังและเก่าแก่ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท คริสตีส์ (Christle's) เคยทำการประมูลไข่มุกเมโลคุณภาพดีเยี่ยมที่ยังไม่ได้ประกอบตัวเรือนจะมีมูลค่ากว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทย 2,327,250 บาท)ขณะที่ไข่มุกเมโลที่ได้รับการประกอบตัวเรือนแล้วจะมีมูลค่ามากกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทย 7,757,500 บาท) ด้วยความหายากในระดับ "Rare Item" ทำให้มุกเมโลมีราคาสูงกว่าอัญมณีอื่นๆ หลายเท่าตัว อีกทั้งยังเป็นแรงหนุนให้แบรนด์จิวเวอร์รี่ระดับโลก นำมุกเมโลมาเป็นจุดขายในการออกแบบเครื่องประดับ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับชิ้นงานด้วย เช่น แบรนด์ดังจาก Tiffany & Co ได้เนรมิตสร้อยสุดหรูที่ทำจากแพลทินัมประดับเพชรยาว 18 นิ้ว และจี้ไข่มุกเมโลสีส้มสดใสขนาด 23 มม. เพชรทรงกลมสีเหลืองและสีขาวน้ำหนักรวม 6.50 กะรัต สร้อยคอถูกยึดด้วยตัวล็อคกล่องประดับเพชร สลักชื่อ "Tiffany & Co." สนนราคา 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทย 9,318,000 บาท)
ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีเครื่องประดับไข่มุกเมโลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นสร้อยเพชร 46 กะรัต ประดับไข่มุกเมโล (Melo Pearl) น้ำหนัก 164 กะรัต มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท จากแบรนด์ Beauty Gems