4 กลเม็ด...พิชิตทริกเกอร์ ฟันด์ ล็อกรีเทิร์น...หนีติดดอย

4 กลเม็ด...พิชิตทริกเกอร์ ฟันด์ ล็อกรีเทิร์น...หนีติดดอย

4 กลเม็ด...พิชิตทริกเกอร์ ฟันด์ ล็อกรีเทิร์น...หนีติดดอย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นพักฐานด้วยการปรับตัวลดลงกว่า 200 จุด จึงเป็นอีกจังหวะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งเล็งจะออกกองทุนยอดฮิต "ทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์" กันอย่างคึกคัก

เพียงแต่การที่นักลงทุนจะกระโจนเข้าไปลงทุนเพื่อซื้อถัวเฉลี่ย หรือเสี่ยงดวง เพียงเพราะหวังว่าหุ้นจะขึ้นในอนาคต คงไม่ใช่วิธีที่ดีแน่

"ประชาชาติธุรกิจ" ได้พูดคุยหาแนวทางการลงทุนทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ กับ "สุรเชษฐ์ ศรีวัฒนกุลวงศ์" ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน และผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.โซลาริส ซึ่งเผย "ทีเด็ด 4 กลเม็ดพิชิตการลงทุน" ที่ควรรู้เป็นอย่างยิ่ง

เริ่มจาก "ข้อแรก" ที่กำลังเป็นข้อสงสัยคาใจนักลงทุนขณะนี้ว่า เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงแล้ว ควรซื้อทริกเกอร์ ฟันด์เพิ่มอีกหรือไม่ คำตอบคือ "ควรย้าย บลจ.เมื่อต้องการซื้อถัวเฉลี่ย"

เพราะหากนักลงทุนยังเข้าซื้อกองทุนของ บลจ.เดิมที่ออกทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ใหม่ ในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ก็อาจจะได้หุ้นชุดเดิมกลับเข้ามาเพิ่มอีก เนื่องจากปกติ บลจ.มักจะออกกองทุนใหม่ และลงทุนในหุ้นที่คล้ายหรือใกล้เคียงกับกลุ่มหุ้นเดิม ซึ่งเห็นว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ได้คัดสรรมาดีแล้ว

ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงถัดไป คือเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น กองทุนเก่าก็จะสามารถปิดไปได้ หลังสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้า แต่กองทุนใหม่ก็อาจได้รับผลกระทบจากแรงเทขายหุ้นออกของทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์กองเดิม ซึ่งจะกดให้ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนอยู่ในภาวะ "ติดดอย" ต้องแช่เงินไว้ เพื่อรอเวลาตลาดฟื้นตัวอีกครั้ง จึงจะได้ผลตอบแทนคืนจากกองทุนที่เข้าไปซื้อถัวเฉลี่ย

"บลจ.ต่าง ๆ จะมีหุ้นในขอบเขตการลงทุนอย่างชัดเจน ตามที่คณะกรรมการการลงทุนอนุมัติ เช่น บลจ.แห่งหนึ่งอาจมีหุ้นเป้าหมายได้ 70-80 บริษัท แต่เอาเข้าจริง ๆ ทุก บลจ.จะเลือกหุ้นที่โดดเด่นที่สุดใส่กองทุน ทำให้ทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ กอง 1-3 มีหน้าตาคล้ายกัน ดังนั้นถ้านักลงทุนจะซื้อกับ บลจ.เดิม ก็จะได้หุ้นตัวเดิม ๆ ซึ่งไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น นักลงทุนน่าจะใช้วิธีกระจายเงินลงทุนไปยัง บลจ.อื่น ๆ ที่มีกองทุนแบบเดียวกันมากกว่า จะทำให้ได้หุ้นที่มีหน้าตาต่างกัน และมีความเสี่ยงลดลง"

เขาแนะนำข้อ 2 ต่อว่า ควร "เลือกขนาดกองทุนให้ตรงเป้าหมายการลงทุน" เนื่องจากกองทุนทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ ขนาดเล็กและใหญ่ มักจะลงทุนหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ต่างกัน เช่น กองทุนขนาดใหญ่สามารถลงทุนในหุ้น 50 อันดับแรก (SET50) ที่มีพื้นฐานดี ราคาแพง (กว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก) และสภาพคล่องสูงได้ ขณะที่กองทุนขนาดเล็กจะสามารถลงทุนหุ้นไซซ์กลาง-เล็ก ที่ราคามีแนวโน้มปรับขึ้นสูงได้ โดยไม่สร้างผลกระทบต่อราคาทั้งในการเข้าซื้อและถอนออก ซึ่งกองทุนขนาดใหญ่จะทำไม่ได้

ดังนั้นนักลงทุนจึงควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่า ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมั่นใจในการเติบโตของภาพรวมของตลาดหุ้น หรือมีเป้าหมายจะลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เพราะเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจที่สามารถผลักดันให้ทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ กองนั้น ๆ สร้างรีเทิร์นได้ตามเป้า จนปิดได้ก่อนหรือตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้

ส่วน "ข้อที่ 3" จำเป็นสำหรับนักลงทุนที่ลังเลว่า ควรลงทุนทริกเกอร์ฟันด์ไทย หรือต่างประเทศดีกว่ากัน จึงแนะให้ใช้วิธีการ "เปรียบเทียบโอกาสการปรับตัวขึ้นและการเข้าถึงข้อมูลระหว่างตลาดหุ้นไทย-ต่างประเทศ" และศึกษาปัจจัยบวกที่จะผลักดันให้แต่ละตลาดปรับตัวขึ้นมีอะไรบ้าง และนักลงทุนสามารถเกาะติดกระแสความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน

สำหรับนักลงทุนที่มั่นใจว่าจะลงทุนในทริกเกอร์ ฟันด์ ที่ออกไปลงทุนต่างประเทศ ก็ควรจะดูรายละเอียดกองทุนดังกล่าวด้วยว่า ใช้วิธีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินมากน้อยแค่ไหน เพราะหากมีการเฮดจิ้งทั้ง 100% ก็จะสร้างต้นทุนเพิ่มให้กองทุน แต่หากเฮดจิ้งบางส่วนก็อาจได้รับความเสี่ยงในกรณีที่เงินบาทแข็งค่าได้และเมื่อพิจารณาคุณสมบัติกองทุนทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ รวมถึงความต้องการของตนเองแล้ว

"ข้อสุดท้าย" ควรให้ความสำคัญกับการ "เลือกลงทุนกับ บลจ.ที่มีผลงานที่ดีในอดีต" ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้วัดอย่างหนึ่งว่า เงินลงทุนที่ได้ใส่เข้าไปนั้น ได้อยู่ในมือของผู้จัดการกองทุนและทีมบริหารที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

แม้ทริกเกอร์-ทาร์เก็ต ฟันด์ จะตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการได้กำไรภายในระยะเวลาที่ต้องการ แต่นักลงทุนก็ควรจะให้ความสำคัญต่อการศึกษารายละเอียด วางกลยุทธ์ เลือกรูปแบบกองทุนที่เหมาะกับตนเองด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook