ศบศ. ไฟเขียวจ่ายเงินอุดหนุนเอสเอ็มอี 3,000 บาทต่อหัวลูกจ้าง 3 เดือน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยเห็นชอบ หลักการโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เสนอโดยกระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงาน ตลอดจนสร้างความแข็งแรงให้แก่ธุรกิจ ซึ่งมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
- คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นนายจ้างภาคเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยไม่เกิน 200 คน โดยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในเดือน ต.ค. 64 และรับเงินอุดหนุนในเดือนที่ 1 - 3 (ตั้งแต่เดือน พ.ย. 64 - ม.ค. 65)
- เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุน รัฐบาลจะจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมและรักษาการจ้างงานให้แก่นายจ้างเพื่อรักษาการจ้างงานในอัตรา 3,000 บาทต่อลูกจ้างสัญชาติไทยต่อเดือน แต่ไม่เกิน 200 คน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเงินอุดหนุนจะคำนวณตามยอดการจ้างงานจริงของทุกเดือน พิจารณาจากจำนวณลูกจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคมจากระบบประกันสังคม โดยจะจ่ายเงินอุดหนุนทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน โดยนายจ้างจะต้องรักษาระดับการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 95% ในระหว่างเข้าร่วมโครงการฯ หากไม่สามารถรักษาระดับการจ้างงานให้ไม่ต่ำ 95% ได้จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนในเดือนนั้น ส่วนกรณีนายจ้างมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากยอดการจ้างงาน ณ วันเริ่มโครงการ จะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มตามจำนวนการจ้างงานจริง โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัดตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฯ
- เป้าหมายโครงการเพื่อรักษาระดับ การจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยในธุรกิจ SMEs ที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 ราย ที่มีสถานประกอบการจำนวน 480,122 แห่ง และจะสามารถรักษาการจ้างงานลูกจ้างได้จำนวน 5,040,176 คน
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบหลักการแนวทางการขับเคลื่อนการเปิดประเทศด้านการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาล เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไปสู่การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน ซึ่งมีรายละเอียดแผนการดำเนินการที่สำคัญดังนี้
- การขยายผลและพลิกโฉมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Destination) โดยตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 จำนวน 1 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละไม่น้อยกว่า 5,000 คน ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 60,000 ล้านบาท โดยมีแนวทางการดำเนินงานดังนี้
- การปลดล็อกอุปสรรคการท่องเที่ยวที่สำคัญ 8 ประการ (Ease of Traveling) ได้แก่
- การลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน การตรวจ RT-PCR ก่อนมาและเมื่อถึงสนามบิน หลังจากนั้นให้ตรวจแบบ ATK
- หนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทยออนไลน์แบบหมู่คณะ (Group COE)
- การอนุญาตเที่ยวบินพาณิชย์ของรัสเซียให้สามารถเดินทางเข้าสู่ภูเก็ต
- การผ่อนคลายคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure: SOP) ของกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (High Risk Contact: HRC) สำหรับผู้โดยสารเครื่องบิน
- การลดค่าใช้จ่ายในการตรวจ RT-PCR
- การลดค่าเบี้ยประกันภัย รวมถึงการ On-Top ในรูปแบบ COVID Shield ให้ครอบคลุมเรื่องการสัมผัสเสี่ยงสูง (High Risk Contact: HRC) และ Hospitel รวมทั้งมีกองทุนสนับสนุนการชำระเงินล่วงหน้า
- การออก Visa on Arrival (VOA) และหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทยออนไลน์ หรือ COE Online
- เอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccine Passport)
- การลงทุนพัฒนาเพื่อพลิกโฉมภูเก็ตสู่สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Destination) ภายใต้แนวคิด SUPRA ประกอบด้วย
- การเสริมสร้างความปลอดภัย (Safety)
- การยกระดับ (Upgrading) โดยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและการยกระดับระบบสาธารณสุข
- การเยียวยาและดูแลประชาชนฐานราก (Pro-Poor) ได้แก่ การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชน การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงชีวภาพ หมุนเวียน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Bio-Circular-Green Tourism: BCG Tourism) การสนับสนุนการท่องเที่ยววิถีชุมชน และ การส่งเสริมอาชีพและการกระจายรายได้
- การพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น (Refine) ประกอบด้วย การเปลี่ยนทักษะ พัฒนาทักษะ และสร้างทักษะใหม่ ๆ ให้กับแรงงาน (Re/Up/New Skill: RUN Skill) ควบคู่ไปกับการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้า ท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพ (GEMMSS)
- การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและกิจกรรมระดับโลก (Activities) ประกอบด้วย กิจกรรมส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว กิจกรรม Thailand Festival Experiences และ กิจกรรมบันเทิงและการกีฬาระดับโลก
- การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อใช้ในการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อการเติมโตที่มีความยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในรูปแบบการให้การอุดหนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงโดยดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎระเบียบและมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
- การประกาศส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2565 Amazing ยิ่งกว่าเดิม (Visit Thailand Year 2022 Now Even More Amazing) ภายใต้แนวคิดกิจกรรมและเอกลักษณ์ไทย 26 ประการ ภายใต้แนวคิด “From A to Z Amazing Thailand Has It All”
- การปลดล็อกอุปสรรคการท่องเที่ยวที่สำคัญ 8 ประการ (Ease of Traveling) ได้แก่