แบงก์ชาติ แฉกลโกงแก๊งตุ๋นสูบเงินตัดบัตรเดบิต-เครดิต

แบงก์ชาติ แฉกลโกงแก๊งตุ๋นสูบเงินตัดบัตรเดบิต-เครดิต

แบงก์ชาติ แฉกลโกงแก๊งตุ๋นสูบเงินตัดบัตรเดบิต-เครดิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เพจเฟซบุ๊ก ธนาคารแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความ แฉกลการโจรกรรมข้อมูลบัตรเดบิต บัตรเครดิต ที่มิจฉาชีพใช้แบบละเอียดทุกเม็ด รวมทั้งการยกระดับความปลอดภัยของแบงก์และแนวทางป้องกันภัยที่เราต้องรู้ พร้อมภาพประกอบรายละเอียดดังนี้

info

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ตอบคำถาม 4 ประเด็นหลักๆ เกี่ยวกับการคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการถูกมิจฉาชีพโจรกรรมข้อมูล พร้อมสาเหตุที่ผู้เสียหายบางคนยังไม่ได้รับเงินคืน โดยมีรายละเอียดดังนี้

คำถาม : การคืนเงินเป็นกรณีไหนบ้าง และคืนอย่างไร

  • คำตอบ : ตอบ การคืนเงิน เป็นกรณีบัตรที่มีการใช้งานผิดปกติ โดยการสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศที่ไม่มีระบบให้ทำการยืนยันก่อนทำรายการ เช่น การใช้ One Time Password (OTP) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่าง 1 – 17 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา จำนวนรวม 10,700 ใบ ประกอบด้วย
    • บัตรเดบิตจำนวน 4,800 ใบ จำนวนเงิน 30 ล้านบาท ธนาคารได้ดำเนินการคืนเงินเข้าบัญชีของลูกค้าหมดแล้ว
    • บัตรเครดิต 5,900 ใบ จำนวน 100 ล้านบาท ได้ดำเนินการตั้งพักยอด และจะดำเนินการยกเลิกรายการ โดยลูกค้าไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติและไม่มีการคิดดอกเบี้ย
  • ส่วนการคืนหลังวันที่ 17 กรณีที่มีธุรกรรมผิดปกติทำรายการผ่านบัตรเดบิตออนไลน์โดยร้านค้าที่ไม่มีการยืนยันการทำรายการ เช่น การใช้ OTP เมื่อธนาคารตรวจสอบแล้วว่าลูกค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำรายการ ธนาคารจะพิจารณาทำการคืนเงินภายใน 5 วันทำการเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีธุรกรรมผิดปกติรูปแบบอื่น ๆ ธนาคารจะเร่งประสานกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรเดบิต (Card Scheme) และร้านค้าปลายทางโดยเร็ว

คำถาม : ทำไมยังมีคนบอกว่ายังไม่ได้รับเงินคืน

  • คำตอบ : หากเป็นธุรกรรมผิดปกติที่มีลักษณะที่เข้าข่ายกรณีสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศ ที่ไม่มีการใช้ OTP ในช่วงวันที่ 1-17 ต.ค. 64 ลูกค้าบัตรเดบิตต้องได้รับเงินคืนเข้าบัญชีแล้วก่อนวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา หากยังไม่ได้รับเงินคืน อาจเป็นกรณีที่เกิดภายหลัง 17 ต.ค. 64 ซึ่งธนาคารจะดำเนินการคืนเงินภายใน 5 วัน หลังจากวันที่ตรวจสอบพบ นอกเหนือจากกรณีข้างต้น ยังมีธุรกรรมทุจริตอีกหลายรูปแบบ ซึ่งประเภทของความเสียหายอาจต่างกรณีกัน ธนาคารจึงจำเป็นต้องพิจารณารูปแบบและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมก่อนดำเนินการคืนเงิน หากมีข้อสงสัย ขอให้ลูกค้าติดต่อผ่านช่องทางบริการต่าง ๆ ของธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อความรวดเร็ว กรณีไม่ได้รับความสะดวกสามารถติดต่อศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. (โทร. 1213) เพื่อประสานส่งข้อมูลและหลักฐานให้กับธนาคารต่อไป

คำถาม : ที่ดำเนินการไป เลือกเฉพาะที่เกิดเรื่องช่วงเป็นข่าวใช่หรือไม่ แล้วที่เหลือจะทำอย่างไร ที่แจ้งว่า 5 วัน จะเป็นมาตรฐานตลอดไปไหม

  • คำตอบ : เนื่องจากเป็นกรณีธุรกรรมที่ผิดปกติจำนวนมาก จึงมีมาตรการแก้ไขเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ เนื่องจากการทุจริตมีหลายรูปแบบ มีความซับซ้อนแตกต่างกัน ธปท. และสมาคมธนาคารไทยจะมีการปรับปรุงการดำเนินการให้เรื่องนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นมาตรฐานทั้งระบบ โดยจะคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ

คำถาม : ทำไมยังเกิดเคสใหม่ๆ ทั้งที่ ธปท และสมาคมธนาคารไทยออกมาชี้แจงว่าได้แก้ปัญหาและยกระดับการป้องกัน

  • คำตอบ : การทำธุรกรรมออนไลน์ของธนาคารมีความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานสากล อย่างไรก็ดี การทุจริตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ที่ผ่านมามีจำนวนไม่มาก จากข้อมูลล่าสุด อัตราการทำธุรกรรมทุจริตผ่านบัตรชำระเงิน (เดบิต/เครดิต) ของไทยอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค และหากมีการทุจริตที่ลูกค้าไม่เกี่ยวข้อง ธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ ธนาคารจะร่วมมือกับ ธปท. และผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรในการยกระดับการป้องกัน ในเรื่องการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ ป้องกัน และดูแลรับผิดชอบความเสียหายอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงเพิ่มเติม ประชาชนผู้ใช้บริการควรเฝ้าระวังและหมั่นตรวจสอบธุรกรรมของตนเองหรือทำการปรับวงเงินที่ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารด้วย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook