นักเทรดคริปโตฮือฮา "เหรียญสมเด็จดิจิทัล" ก.ล.ต. เตือนระวังการลงทุน

นักเทรดคริปโตฮือฮา "เหรียญสมเด็จดิจิทัล" ก.ล.ต. เตือนระวังการลงทุน

นักเทรดคริปโตฮือฮา "เหรียญสมเด็จดิจิทัล" ก.ล.ต. เตือนระวังการลงทุน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นเรื่องที่เหล่านักเทรด Cryptocurrency ไทยพูดถึงกันอย่างมาก สำหรับเหรียญสมเด็จดิจิทัล หรือ Somdejcoin (SDC) ซึ่งถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลพระเครื่องแรกของโลกเลยก็ว่าได้ สมเด็จคอยน์ ถูกสร้างขึ้จาก Blockchain ระบบ Binance Smart Chain (BSC) โดยจำกัดจำนวนเหรียญที่มี 66,186,727 ล้านเหรียญ เท่ากับจำนวนประชากรของคนในประเทศไทย ปี 2563 โดยผู้พัฒนาเหรียญตั้งใจให้เป็นเหรียญดิจิทัลที่คนไทยและคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงเหรียญสมเด็จดิจิทัลเหรียญรุ่นแรงของโลกได้ และจะแจกฟรีให้กับคนไทยทุกคนด้วย พร้อมกับระบุว่า SDC ได้มีการยื่นเอกสารอย่างถูกต้องให้กับทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และก.ล.ต. ในการนำเทคโนโลยี Blockchain มาสร้างประโยชน์ให้กับคนไทย รวมถึงมูลนิธิและวัดทั่วประเทศ

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นเอกสารของ SDC รวมถึงมีความเป็นไปได้หรือไม่ในการแจกเหรียญดิจิทัลฟรี 1 เหรียญ และมีการเทรดด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้

ผู้ประสานงานวัดป่ามหาญาณ มีหนังสือถึง ก.ล.ต. 2 ฉบับเพื่อหารือว่าเหรียญดังกล่าวเข้าข่ายเป็นเหรียญสินทรัพย์ดิจิทัล 4 ประเภท ซึ่งห้ามมิให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนำมาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตามข้อ 39/1 ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 19/2561 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หรือไม่

อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. ได้มีหนังสือขอข้อมูลเพิ่มเติมจากวัดป่ามหาญาณแล้ว เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 64 เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาให้ความเห็นต่อไป ในประเด็นเกี่ยวกับ

1. การใช้ชื่อสมเด็จมาเป็นชื่อเหรียญ รวมทั้งมีแผนจะนำเหรียญดังกล่าวไปซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะเก็งกำไรนั้น การดำเนินการดังกล่าวมีความเหมาะสมที่อาจกระทบต่อพระพุทธศาสนา จึงให้ผู้ออกหารือและนำหนังสือความเห็นจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาว่า เหรียญดังกล่าว ไม่ขัดต่อกฎหมาย

2. ข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น เช่น กลไกในการใช้สิทธิประโยชน์ของเหรียญมีลักษณะการดำเนินการอย่างไร อัตราในการนำเหรียญเพื่อใช้ในการแลกสิทธิประโยชน์เป็นอย่างไร รวมทั้งแผนที่จะเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในอนาคต จะมีหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินการอย่างไร

3. การเปิดให้มีการซื้อขายเหรียญโดยหักภาษีในอัตราร้อยละ 9 ในทุกครั้งที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนที่เท่ากันเพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและช่วยเหลือสังคม นำไปเสริมสภาพคล่องในระบบ และนำไปเพิ่มเหรียญให้แก่ผู้ถือเหรียญ อันอาจมีลักษณะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้มีการถือครองเหรียญเพื่อการลงทุนมากกว่าการทำบุญ จึงมีข้อสังเกตว่ามีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเหรียญในการทำนุบำรุงศาสนาและช่วยเหลือสังคม รวมทั้งถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวัดหรือไม่

ทั้งนี้ เหรียญ 4 ประเภทตามประกาศข้างต้น ได้แก่

  • เหรียญที่ออกโดยไม่มีวัตถุประสงค์หรือสาระชัดเจนหรือไม่มีสิ่งใดรองรับโดยมีราคาขึ้นอยู่กับกระแสในโลกโซเชียล (Meme Token)
  • เหรียญที่ออกโดยมีลักษณะเกิดจากกระแสความชื่นชอบส่วนบุคคล (Fan Token)
  • โทเคนดิจิทัลที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แสดงความเป็นเจ้าของหรือให้สิทธิในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่สามารถใช้โทเคนดิจิทัลประเภทและชนิดเดียวกันและจำนวนเท่ากันแทนกันได้ (Non-Fungible Token) หรือ
  • โทเคนดิจิทัลที่ออกโดยผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเองหรือบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน

ส่วนกรณีที่มีการแจกคนละ 1 เหรียญและมีการเทรดนั้นสามารถทำได้หรือไม่ การจัดสรรเหรียญให้แก่ผู้ถือด้วยการแจกสามารถทำได้ (เป็นการให้ฟรี ไม่มีการเสนอขาย) ในส่วนของการเทรดปัจจุบันยังไม่มีการเทรดกับผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย

หากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องการนำเหรียญดังกล่าวเข้ามาซื้อขายในกระดานจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนด listing rule ของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้แนะนำนักลงทุน Cryptocurrency ว่าจากข้อมูลของสมเด็จคอยน์ไม่เข้าข่ายเป็นเหรียญที่ต้องได้รับอนุญาตให้เสนอขายจาก ก.ล.ต. และข้อมูลยังมีความไม่ชัดเจนในบางเรื่อง ดังนั้นขอให้ผู้สนใจศึกษาข้อมูลและใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อขาย

ทั้งนี้ เนื่องจากเหรียญดังกล่าวใช้ชื่อสมเด็จและเป็นกิจกรรมของวัด จึงอาจมีความเกี่ยวข้องและต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย โดย ก.ล.ต. ได้แจ้งผู้พัฒนาไปแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook