หอการค้า มองศึกรัสเซีย-ยูเครน ลากยาวน้ำมันจ่อ 120 เหรียญฯ ดันของแพง
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ ซึ่งทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของ NATO และการพิจารณารับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลกซึ่งในระยะนี้ ผู้ประกอบการไทยควรระมัดระวังเรื่องการชำระเงินและรับคำสั่งซื้อ ซึ่งอาจเกิดความล่าช้าในการชำระเงินมากกว่าปกติ แต่คาดว่าผู้ประกอบการไทยอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากไทยกับทั้งรัสเซียและยูเครน มีปริมาณการค้าต่อกันไม่มาก
โดยภาคเอกชนประเมินว่า ผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป กลุ่ม SME โดยเฉพาะเครื่องสำอางและอัญมณี ที่รัสเซียเป็นลูกค้ารายใหญ่และตลาดกำลังเติบโต รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ แต่ผลทางอ้อมต่อประเทศไทย คือ ราคาน้ำมันวันนี้ทะลุ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีโอกาสจะทะลุ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นประมาณ 5.0-7.5 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับปลายเดือนกุมภาพันธ์
ซึ่งผลกระทบทางอ้อมนี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแน่นอน ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เพราะสินค้ามีราคาแพง ในด้านการท่องเที่ยว คาดว่านักท่องเที่ยวในปีนี้จากรัสเซียอาจจะหายไปประมาณ 2.5 แสนคน เนื่องจากมีข้อจำกัดของการเดินทาง ลดลงจากเดิมที่เคยประเมินว่าปีนี้จะมีเข้ามา 5 แสนคน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ในส่วนนี้
ส่วนผลกระทบในระยะกลางและระยะยาว ประเมินว่า จะเกิดผลกระทบด้านโลจิสติกส์ โดยอาจเกิดภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ จึงขอเสนอให้ภาครัฐเร่งเจรจาจัดทำ Transit Agreement กับประเทศจีน และให้ศึกษาการใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีของสหภาพยูเรเซีย เพื่อพิจารณาเป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่
นอกจากนั้น ยังคงต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อและการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ทั้งนี้ ภาครัฐควรรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ