ธปท. ยืนยันระบบธนาคารแข็งแกร่ง กองทุน เงินสำรอง สภาพคล่องสูง

ธปท. ยืนยันระบบธนาคารแข็งแกร่ง กองทุน เงินสำรอง สภาพคล่องสูง

ธปท. ยืนยันระบบธนาคารแข็งแกร่ง กองทุน เงินสำรอง สภาพคล่องสูง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1 ปี 2565 ว่า ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1/65 ขยายตัวที่ 6.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 6.5%

โดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัวที่ 8.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.9% เนื่องจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการเงินทุนของภาคเอกชน โดยขยายตัวได้ในเกือบทุกภาคธุรกิจ ด้านสินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเป็นสำคัญ

ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ 3.3% สอดคล้องกับความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่ปรับลดลงจากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขยายตัวชะลอลงตามอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มปรับลดลง ด้านสินเชื่อรถยนต์ทรงตัว แม้ว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศเริ่มกลับมาขยายตัวได้ ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัวสอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้น และสินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการสภาพคล่องของภาคครัวเรือน

ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 3,016.4 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 19.8% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 909.4 พันล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 165.6% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio: LCR) อยู่ที่ 192.5%

“ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง มีความสามารถในการขยายสินเชื่อ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากการปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook