รู้มั้ย? เหรียญ 1 บาท ชำระหนี้ได้ไม่เกิน 500 บาท
รู้หรือเปล่า เหรียญ 1 บาท ชำระหนี้ได้ไม่เกิน 500 บาท เพราะอะไร สำนักงานกิจการยุติธรรมมีคำตอบ
เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานกิจการยุติธรรม โพสต์ข้อความคลายข้อสงสัยกรณี เหรียญ 1 บาท ชำระหนี้เกิน 500 บาท ได้หรือไม่ โดยรายละเอียดดังนี้
"มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน" การเก็บเงิน เก็บหอมรอมริบ เพื่อที่จะซื้อของให้ตัวเองเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเราใช้แต่ “เหรียญ 1 บาท” อย่างเดียว ในการซื้อของแบบพวกโทรศัพท์มือถือจะทำได้มั้ยนะ?
ไม่ได้นะ เพราะตามกฎหมายได้กำหนดให้เหรียญ 1 บาท ใช้ชำระหนี้ได้ในจำนวนคราวละไม่เกิน 500 บาท ถ้าจะซื้อโทรศัพท์มือถือที่มีราคามากกว่า 500 บาท จึงไม่สามารถใช้เหรียญบาทอย่างเดียวไปซื้อได้ ยังมีเรื่องการชำระหนี้ด้วย "เหรียญกษาปณ์" เราต้องรู้อีกนะ ว่าจะสามารถใช้เหรียญชำระหนี้ได้คราวละไม่เกินเท่าไร?
- เหรียญ 25 หรือ 50 สตางค์ ชำระหนี้ได้คราวละไม่เกิน 10 บาท
- เหรียญ 1 บาท ชำระหนี้ได้คราวละไม่เกิน 500 บาท
- เหรียญ 2 บาท ชำระหนี้ได้คราวละไม่เกิน 500 บาท
- เหรียญ 5 บาท ชำระหนี้ได้คราวละไม่เกิน 500 บาท
- เหรียญ 10 บาท ชำระหนี้ได้คราวละไม่เกิน 1,000 บาท
ทั้งนี้ จุดประสงค์ของการกำหนดจำนวนเหรียญที่ใช้ชำระแต่ละครั้งตามข้างต้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกลั่นแกล้งกัน ซึ่งหากมีการใช้เหรียญชำระหนี้ต่างๆ ในจำนวนที่เกินจากที่กฎหมายกำหนด ผู้รับมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ โดยไม่มีความผิดตามกฎหมาย
ในกรณีที่ออมเงินไว้เป็นเงินเหรียญจำนวนมาก สามารถ "ฝากเงิน" ที่ธนาคารต่างๆ ก่อนถอนออกมาชำระหนี้ หรือชำระหนี้กับธนาคารได้โดยตรง โดยอาจมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละธนาคาร นอกการฝากเงินด้วยเหรียญ หรือชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ธนาคารแล้ว ยังมีช่องทางของ "กรมธนารักษ์" https://www.treasury.go.th/th/coin-contact/ หรือโทรศัพท์ติดต่อ : 02-834-8300
ในกรณีที่มีเหรียญจำนวนมาก สามารถติดต่อขอแลกเหรียญได้ที่ สำนักบริหารเงินตรา กรมธนารักษ์
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือพบธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธรับฝากเหรียญ สามารถสอบถามรายละเอียดและร้องเรียนได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทรหมายเลข 1213