ม.หอการค้าฯ ชี้กินเจปีนี้ค่อนข้างคึกคัก เงินสะพัด 4.2 หมื่นล้านบาท

ม.หอการค้าฯ ชี้กินเจปีนี้ค่อนข้างคึกคัก เงินสะพัด 4.2 หมื่นล้านบาท

ม.หอการค้าฯ ชี้กินเจปีนี้ค่อนข้างคึกคัก เงินสะพัด 4.2 หมื่นล้านบาท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนจำนวน 1,250 ตัวอย่าง ว่า คาดว่าเทศกาลกินเจในปี 2565 จะมีเงินสะพัด หรือมูลค่าการใช้จ่ายราว 42,235 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อน 5.2% ที่มีเงินสะพัดราว 40,147 ล้านบาท (ติดลบ 14.5%) โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 4,185.88 บาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว และเดินทางไปต่างจังหวัด)

ทั้งนี้ จากการสอบถามประชาชนว่า ในปี 65 จะกินเจในช่วงเทศกาลกินเจหรือไม่ พบว่า ประชาชน 66% ระบุว่า จะไม่กินเจ สาเหตุหลัก คือ อาหารเจแพง เศรษฐกิจไม่ดี และรสชาติไม่อร่อย ขณะที่ประชาชนอีก 34% ระบุว่า กินเจ เพราะตั้งใจทำบุญ ชอบอาหารเจ และกินตามคนที่บ้าน หรือคนรอบข้าง

ส่วนพฤติกรรมการกินเจในครั้งนี้ ประชาชน 81.2% ระบุว่า จะกินตลอดช่วงเทศกาล ขณะที่ประชาชนอีก 18.8% ระบุว่า จะกินเจเฉพาะบางมื้อ โดยช่องทางในการเลือกซื้ออาหารเจ ส่วนใหญ่ตอบว่าเป็นการซื้อด้วยตนเอง 91.8%

“มูลค่าการใช้จ่ายปีนี้เพิ่มขึ้น มาจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งมูลค่าการจับจ่ายใช้สอยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ไม่กลับมาอยู่ในระดับปกติ หรือเท่ากับมูลค่าในปี 58 ที่ 42,209 ล้านบาท หรือเรียกว่ายังไม่คึกคักในรอบ 7 ปี สรุปคือ กินเจปีนี้ค่อนข้างคึกคัก คนพร้อมจับจ่ายใช้สอยในสัดส่วนที่มากขึ้น อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบอ่อนๆ จะเห็นได้จากพฤติกรรมการกินเจปีนี้ คนเริ่มกลับมากินเจตลอดเทศกาลมากขึ้น หรือ 81.2% จากปีก่อนที่ 62.9% ซึ่งถือว่าปีนี้สูงสุดในรอบ 4 ปี” นายธนวรรธน์ กล่าว
vegan

สำหรับราคาวัตถุดิบ ประชาชน 62.2% มองว่าราคาจะแพงกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่อีก 37.8% มองว่าราคาจะเท่ากับปีที่แล้ว นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ 81% ระบุว่า ไม่ได้เดินทางไปทำบุญตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ขณะที่อีก 19% ระบุว่า จะเดินทางไปทำบุญ

ในส่วนของค่าใช้จ่ายโดยรวม พบว่า 55.1% ตอบว่า ปริมาณของกินของใช้สำหรับกินเจมีปริมาณเท่าเดิม และ 33.7% ระบุว่ามีปริมาณลดลง ส่วนมูลค่าที่ใช้ในการกินเจ ประชาชน 53.9% ตอบว่า มีเพิ่มขึ้น

“ประชาชนมองว่าสินค้ามีราคาแพงขึ้น จึงเตรียมเงินเพื่อใช้จ่ายในปริมาณที่มากขึ้น แต่ปริมาณของกินของใช้เท่าเดิมถึงลดน้อยลง ค่าใช้จ่ายจะบริโภคเพิ่มไม่มาก แต่เตรียมเงินไว้พอสมควร ดังนั้น มองว่าประชาชนมีกำลังจ่าย แต่ยังคงใช้อย่างระมัดระวัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มฟื้น” นายธนวรรธน์ กล่าว

จากการสอบถามเรื่องความคึกคักของเทศกาลกินเจ คาดว่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน 53.5% ในขณะที่ 26.2% มองว่าจะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากปัญหาค่าครองชีพสูง เศรษฐกิจไม่ดี และรายได้ลด สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้จ่ายช่วงกินเจ 56.9% มาจากรายได้ประจำ และ 39.7% มาจากเงินช่วยเหลือของรัฐ (ปี 64 ที่ 0.4%)

ส่วนการสำรวจความเห็นทั่วไป เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต พบว่า ประชาชน 92.8% มองว่า ค่าครองชีพในปัจจุบันไม่เหมาะสม และ 7.2% มองว่ามีความเหมาะสม ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่ได้รับผลกระทบ เรื่องค่ารถสาธารณะ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในระดับปานกลาง ค่าน้ำมัน ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบมาก ส่วนค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค และค่าเช่าบ้านหรือค่าผ่อนบ้าน ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเมื่อสอบถามถึงการแก้ไข ประชาชนตอบว่า จะแก้ไขด้วยการลดการใช้จ่าย หรือประหยัด รองลงมาคือหารายได้เพิ่ม

สำหรับความเหมาะสมในการจับจ่ายใช้สอยในช่วงนี้ ในเรื่องการท่องเที่ยว 41.1% ระบุว่า มีความเหมาะสมปานกลาง, การซื้อจักรยานยนต์คันใหม่ 54.5% ระบุว่า มีความเหมาะสมน้อย, การซื้อรถยนต์คันใหม่ 43.7% ระบุว่า มีความเหมาะสมน้อย, การซื้อสินค้าคงทน โทรทัศน์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องซักผ้า 49.9% ระบุว่า มีความเหมาะสมมาก และการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 64.1% ระบุว่า มีความเหมาะสมมาก

“เรื่องการท่องเที่ยว 41.1% มองว่า มีความเหมาะสมปานกลาง และอีก 40.5% มองว่ามีความเหมาะสมน้อย ซึ่งสอดคล้องกับที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า การท่องเที่ยวของไทยพลาดเป้า เนื่องจากคนไทยมีการท่องเที่ยวและมีการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง” นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงสภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคต พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 75.1% มองว่า ประเทศไทยจะฟื้นช่วงครึ่งปีหลัง 66 สอดคล้องกับที่หอการค้าไทยมองว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 66 คนจะกลับมาจับจ่ายใช้สอยใกล้เคียงกับปกติ

“ภาพรวมมองว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นแบบอ่อนๆ แต่ยังไม่โดดเด่น เนื่องจากประชาชนยังไม่มั่นใจเศรษฐกิจในอนาคต และภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นมาจากการมองของภาคธุรกิจ และภาควิชาการ เป็นการฟื้นในรูป K-Shape คือธุรกิจที่เติบโตดีก็จะรับรู้การฟื้นตัวที่มากกว่า โดยเฉพาะธุรกิจที่ผูกพันกับการส่งออกและดิจิทัล การท่องเที่ยว สินค้าคงทนถาวรเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และจักรยานยนต์ และบ้านแนวราบ ในส่วนของธุรกิจที่มองว่ายังไม่ฟื้นหรือ K ขาลง คือกลุ่มเกษตรกรและธุรกิจ SME” นายธนวรรธน์ กล่าว

อย่างไรก็ดี หอการค้าไทย เชื่อว่าในไตรมาส 4/65 เศรษฐกิจจะฟื้น เนื่องจากการส่งออกยังดี, นักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป, เศรษฐกิจโลกยังไม่มีสัญญาณของการซึมตัว, ภาคการเกษตรมีเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น สินค้าเกษตรและปศุสัตว์ราคาดี และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มการหมุนเวียนของเม็ดเงิน ทั้งนี้ มีสัญญาณเริ่มต้นคือการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจ

ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจจากมาตรการของรัฐ ทั้งโครงการคนละครึ่ง บัตรคนจน และการอุดหนุนราคาพลังงาน ที่น่าจะหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 4/65 จึงยังคงมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวอยู่ที่ 3.0-3.5%

สำหรับสิ่งที่ประชาชนต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ ได้แก่ ต้องการให้แก้ไขปัญหาค่าครองชีพ, ต้องการให้มีการเมืองมีเสถียรภาพ, ต้องการเงินช่วยเหลือ, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ต้องการให้กระตุ้นการลงทุนของนักลงทุน, ต้องการให้ช่วยหางานสำหรับผู้ที่ตกงาน และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

นายธนวรรธน์ กล่าวถึงการที่เงินบาทอ่อนค่าแตะ 37.00 บาท/ดอลลาร์ เป็นเชิงจิตวิทยา ถือว่าเป็นการผ่านแนวต้านที่สำคัญ คือ คนมองว่าการที่เงินบาททะลุ 37.00 บาท/ดอลลาร์ บาทจะร่วงไปถึง 37.50-38.00 บาท/ดอลลาร์ โดยการที่ค่าเงินบาทอ่อนสามารถมองได้ 2 มุม คือ 1. ค่าเงินบาทเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ถ้าค่าเงินบาทแข็งค่าสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดี มีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ และ 2. ค่าเงินบาทอ่อน ส่วนใหญ่จะตีความว่า ทิศทางในอนาคตของเศรษฐกิจมีความไม่เข้มแข็ง เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าในครั้งนี้ น่าจะมาจากเงินทุนไหลออก ทำให้มองว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ย 1% หรือ 0.75% และอนาคตจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของสหรัฐฯ สูงขึ้น ดังนั้น หากใครกู้เงินจากสหรัฐฯ มา ก็ต้องรีบคืนเงินกู้ ขณะเดียวกัน หากนำเงินไปฝากที่สหรัฐฯ ก็จะได้ดอกเบี้ยสูง

ทั้งนี้ เงินบาทจะอ่อนค่าไปมากกว่านี้หรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยมากเท่าไร ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะเห็นภาพในไตรมาส 4/65

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังตรึงอยู่ เนื่องจาก ธปท.ส่งสัญญาณว่า ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่มีประมาณ 220,000 ล้านบาท เพียงพอในการจัดการระบบเศรษฐกิจ หรือส่งสัญญาณในการยับยั้งเงินบาทไม่ให้หลุด 37.50 บาท/ดอลลาร์

“พอเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางการฟื้นขึ้น และดอกเบี้ยไทยที่สูงขึ้น เชื่อว่าการแกว่งตัวของบาทในกรอบ 37.00-37.50 บาท/ดอลลาร์ น่าจะยังคงเกิดขึ้นในระยะสั้น ภายใน 1 เดือน แต่ถ้าหลังจากนั้น การส่งออกยังดีอยู่ การท่องเที่ยวกลับเข้ามา และธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้น และทำให้ช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับไทยไม่ต่างกันมาก เชื่อว่าเงินบาทน่าจะไม่หลุด 37.00 บาท/ดอลลาร์ ไปไกลนัก และอาจกลับเข้ามาที่กรอบ 36.50-37.00 บาท/ดอลลาร์ ได้ช่วงปลายไตรมาส 4/65” นายธนวรรธน์ กล่าว

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้น เงินบาทที่อ่อนค่ามีผลดีต่อการท่องเที่ยว และการส่งออก ดังนั้น จึงเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับเศรษฐกิจไทยจะได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทอ่อน ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการส่งออก ขณะเดียวกัน การที่เงินบาทอ่อนค่า แม้จะมีผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้า แต่มองว่าน่าจะมีการสต็อกวัตถุดิบไว้อย่างน้อยประมาณ 1 เดือน จึงทำให้ต้นทุนวัตถุดิบไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นมาก และอาจจะมีการพูดคุยเจรจาเรื่องวัตถุดิบ

“สรุปไม่น่าจะมีผลกระทบรุนแรงในระยะสั้น ขณะเดียวกันราคาน้ำมันในตลาดโลกทรงตัวอ่อน ซึ่งการที่เงินบาทอ่อนไม่น่าจะผลักดันราคาน้ำมันในไทยให้แพงขึ้น ดังนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากนัก โดยรวมแล้วเงินบาทที่อ่อนมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ” นายธนวรรธน์ กล่าว

อย่างไรก็ดี เมื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น เงินบาทในช่วงประมาณสิ้นปี หรือปลายเดือน ธ.ค. 65 ควรกลับมาแกว่งที่ 36.50-37.00 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ ต้องดูทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่าจะขึ้นเท่าไร และจะมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ ขณะนี้เป็นการผันผวนของค่าเงิน แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการและระบบเศรษฐกิจไทยน่าจะยังรับได้ เพราะการที่เงินบาทอ่อนค่าเร็ว ยังเป็นอานิสงส์เชิงบวกในการส่งออกและการท่องเที่ยว หรือโดยรวมไม่มีผลในเชิงลบมาก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook