ธอส. คาดปี 66 ปล่อยสินเชื่อมากถึง 2.5 แสนล้านบาท พร้อมทุ่ม 400 ล้านบาท พัฒนาบริการดิจิทัล
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประเมินว่าการปล่อยสินเชื่อบ้านในปี 66 ยังโตต่อเนื่อง โดยคาดว่าโตได้ถึง 5% จากเป้าในปี 65 ที่ 226,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 240,000 ล้านบาทในปี 66 หรือปล่อยได้ไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยในไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว แม้ว่าในปี 2565 ธอส. จะสามารถปล่อยสินเชื่อได้สูงถึง 300,000 ล้านบาทแล้ว เพราะสังคมไทยเป็นสังคมของการแตกตัวออกจากครอบครัวไปมีที่อยู่อาศัยใหม่ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน
โดยกลุ่มลูกค้าของ ธอส. ส่วนใหญ่จะซื้อบ้านราคาบวกลบประมาณ 2 ล้านบาท ขณะที่การปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยเน้นที่กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็น local developer ขนาดเล็กวงเงินกู้ประมาณ 200-300 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางราคาขายที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท
นอกจากนี้ นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ปัจจุบันยังมีลูกค้าอยู่ระหว่างการรับความช่วยเหลือตามมาตรการของธนาคารวงเงินกู้รวมประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีประมาณ 20,000 ล้านบาทที่อาจเริ่มผ่อนชำระไม่ปกติ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการกำหนดเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ถือเป็นกลุ่มที่ยังมีความตั้งใจผ่อนชำระแม้จะได้รับผลกกระทบ และธนาคารจะยังคงมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้มารองรับโดยสามารถเลือกผ่อนชำระ 25% 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระปกติ
นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ของตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในขณะนี้มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งสถานการณ์ของโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น ที่อยู่อาศัยมีราคาสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการลงทุนก่อสร้าง ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และกำลังซื้อของประชาชนที่แม้จะเริ่มฟื้นตัวแต่ยังไม่เท่ากับการปรับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ย ทำให้ ธอส. ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ธนาคารสามารถลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย และสามารถรับมือกับปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น
คณะกรรมการธนาคาร จึงได้มีมติเห็นชอบให้ ธอส. ลงทุนพัฒนาทางด้านระบบเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ด้วยงบประมาณลงทุนรวมไม่เกิน 400 ล้านบาท โดยใช้ชื่อว่า end to end process หรือการให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการของธนาคารได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายผ่านบริการด้านดิจิทัลทั้งหมด ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและลดต้นทุนการดำเนินงานของธนาคารได้ไปพร้อมกัน โดยมี 3 module หลักประกอบด้วย 1.ด้าน Funding 2.ด้านสินเชื่อ และ 3.ด้านการบริหารจัดการทรัพย์ด้อยคุณภาพ
Module ด้าน funding
ธอส. มีการระดมทุนผ่านหลายช่องทาง ทั้งเงินฝากแบบปกติที่มีสมุดบัญชี เงินฝากแบบอิเล็กทรอนิกส์ สลากออมทรัพย์ พันธบัตร อนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งต้องดำเนินการภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่นเดียวกับการจัดทำสลากออมทรัพย์ ธอส. ที่มีความแตกต่างจากสลากของสถาบันการเงินอื่นในตลาด โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 จะมีการออกสลากออมทรัพย์ชุดใหม่ คือ ชุดวิมานเมฆ PLUS มารองรับการครบกำหนดไถ่ถอนของสลากออมทรัพย์ชุดวิมานเมฆ หน่วยละ 1 ล้านบาท กรอบวงเงินรวม 27,000 ล้านบาท รวมถึงสลากชุดใหม่ประเภทอื่นที่รองรับลูกค้าใหม่ควบคู่กันกับลูกค้าเดิม
Module ด้านสินเชื่อ
ลูกค้าสามารถรู้จักและเข้าถึง ธอส.ได้ด้วย Application GHB ALL GEN ถือเป็น Application ใหม่ที่ธนาคารได้พัฒนาขึ้นมาด้วยงบลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้งานแทน Application GHB ALL เดิมที่ปัจจุบันมีลูกค้าสมัครและใช้บริการอยู่มากกว่า 1 ล้านคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้ดียิ่งขึ้นและรองรับลูกค้าของ ธอส. ได้ทุก Generation ปัจจุบันการพัฒนาบริการเฟสที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้วและเริ่มเปิดให้พนักงานของธนาคารดาวน์โหลดเพื่อทดสอบใช้งานตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2565 ก่อนที่จะเปิดให้ลูกค้าดาวน์โหลดใช้งานเฟสที่ 1 ได้ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2565 และเมื่อ GHB ALL GEN พัฒนาได้สมบูรณ์ทุกบริการแล้ว จะทำให้ลูกค้าเข้าถึง ธอส. ได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยสามารถปรึกษากับพนักงานสินเชื่อ Digital LO(Loan Officer) ได้เสมือนเดินทางไปที่สาขา โดยธนาคารจะถ่ายโอนลูกค้าให้ย้าย Application GHB ALL ไปสู่ GHB ALL GEN ให้ได้ทั้งหมดจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ซึ่งในขณะนั้นบริการต่าง ๆ ใน GHB ALL GEN จะให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ
การนำ Data Analytic ทางด้านการประเมินราคาที่อยู่อาศัยมาพัฒนาระบบ Digital Appraisal ทำให้ลูกค้าทราบราคาประเมินบ้านเบื้องต้นได้ทันทีในขณะยื่นกู้กับเจ้าหน้าที่ โดยราคาจะเบี่ยงเบนจากราคาหลังเจ้าหน้าที่เข้าประเมินจริงไม่เกิน 8% จากเดิมต้องรอให้เจ้าหน้าที่ลงสำรวจที่อยู่อาศัยจริงซึ่งจะทำให้ผู้กู้ทราบราคาประเมินอย่างเป็นทางการได้ในระยะเวลา 3-7 วันหลังยื่นเอกสารคำขอกู้
เมื่อเรื่องเข้าสู้กระบวนการพิจารณาสินเชื่อ ธนาคารจะมีการแจ้งเตือนผลการพิจารณาผ่าน Notification ของ GHB BUDDY บน Line Application โดยกระบวนการแบบดิจิทัลข้างต้น กรณีที่ลูกค้ามีเอกสารประกอบการยื่นกู้ให้กับเจ้าหน้าที่ได้ครบถ้วน ไม่มีประวัติการผ่อนชำระสินเชื่ออื่น ๆ ที่ไม่ปกติ เป็นต้น คาดว่าลูกค้าจะสามารถทราบผลการพิจารณาได้โดยใช้เวลาเพียง 3 วันทำการ และลูกค้ายังสามารถเซ็นสัญญาเงินกู้แบบอิเล็กทรอนิกส์แทนการลงนามรูปแบบกระดาษได้ด้วย e-Contract ซึ่งธนาคารจะ โอนเงินกู้ค่าซื้อที่อยู่อาศัยเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ Developer แทนการจัดทำแคชเชียร์เช็ค ทำให้ผู้ขายไม่ต้องเสียเวลาและลดขั้นตอนนำแคชเชียร์เช็คที่ได้รับจากผู้ซื้อไป ขึ้นเงินเหมือนที่ผ่านมา
หลังจากลูกค้าทำนิติกรรมการโอนและจดจำนองที่กรมที่ดินเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าสามารถรับโฉนดที่ดินฉบับจริงกลับบ้านได้ทันที ด้วยโครงการจัดเก็บ Electronic File แทนเอกสารสิทธิ์ต้นฉบับ (ไม่เก็บโฉนด) โดยธนาคารจะจัดเก็บโฉนดในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์แทนการจัดเก็บเอกสารฉบับจริง ทำให้ลูกค้าจะได้รับโฉนดฉบับจริงกลับบ้านในวันทำนิติกรรมได้ทันที และเมื่อได้เป็นลูกค้าของ ธอส. แล้วก็จะสามารถผ่อนชำระเงินกู้ผ่าน GHB ALL GEN ได้ทันทีโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา
Module ด้านการบริหารจัดการทรัพย์ด้อยคุณภาพ
ธนาคารได้พัฒนา Application : GHB ALL BFRIEND เพื่อให้บริการลูกค้าที่ประสบปัญหาในการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านให้ได้รับทางเลือกและเงื่อนไขการชำระหนี้ที่เหมาะสมกับปัญหา ให้บริการทั้งในด้านการตรวจสอบข้อมูลบัญชีเงินกู้ อาทิ เงินงวดที่ต้องผ่อนชำระตามเงื่อนไขของมาตรการ การยื่นคำร้องประนอมหนี้ และยื่นคำร้องฝากขายทรัพย์ โดยเริ่มเปิดให้ลูกค้าดาวน์โหลดได้ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2565 และยังอยู่ระหว่างการพัฒนา Application : GHB ALL HOME ให้มีครบทุกความต้องการ เรื่องบ้านมือสอง ธอส. ที่พัฒนาต่อยอดจาก Application GHBank Smart NPA สามารถให้บริการได้หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ ค้นหารายการทรัพย์ และแสดงรายละเอียดข้อมูลบ้านมือสองของธนาคาร รวมถึงการ ยื่นคำร้องขอดูสภาพของที่อยู่อาศัยในสถานที่จริง การจองซื้อบ้าน การประมูลออนไลน์ พร้อมเพิ่มบริการชำระเงินมัดจำ เงินดาวน์ รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการซื้อทรัพย์ของธนาคาร อีกทั้งลูกค้าสามารถยื่นคำร้องต่าง ๆ ผ่านแอปนี้ ได้อีกด้วย และมีกำหนดเปิดให้ลูกค้าดาวน์โหลดใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2565
นอกจากนี้ ธอส. ยังได้เริ่มจัดทำโครงการ Renovate บ้านมือสองของ ธอส. ก่อนนำออกจำหน่าย ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ของธนาคาร เนื่องจากการนำบ้านเก่ามารีโนเวทกำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะบ้านมือสองมีราคาที่ถูกกว่าบ้านใหม่ และอยู่ในทำเลที่ตั้งเหมาะสม ธอส.จึงคัดเลือกทรัพย์ทำเลดี ที่ตั้งเหมาะสมนำไปรีโนเวททรัพย์ใหม่ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน ธอส. ได้แบ่งทรัพย์ออกเป็น 7 เกรด
โดยในปี 2565 จะเริ่มดำเนินการ Renovate จำนวนรวม 10 หลัง เริ่มนำออกจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 เป็นทรัพย์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวนทรัพย์ 3 รายการ ประกอบด้วย ทาวน์เฮ้าส์ 2 หลัง และที่ดินเปล่า 1 แปลง ซึ่งการขายบ้านมือสองของธนาคารไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรจากการขายเป็นหลัก แต่ต้องการลดจำนวนการถือครองบ้านมือสองของธนาคาร เพื่อลดการกันสำรองของธนาคารให้ลดลง