พงษ์ศักดิ์สอบน้ำมันรั่วทะเลระยองรับรุนแรงสุด

พงษ์ศักดิ์สอบน้ำมันรั่วทะเลระยองรับรุนแรงสุด

พงษ์ศักดิ์สอบน้ำมันรั่วทะเลระยองรับรุนแรงสุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วทะเลระยองด่วน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุ ขณะ คราบน้ำมันดิบบางส่วนถึงอ่าวพร้าว เกาะเสม็ดแล้ว

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีเกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว ของกลุ่มบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รั่วที่บริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ ห่างจากชายฝั่งทะเลมาบตาพุด ประมาณ 20 กิโลเมตร ขณะกำลังมีการส่งน้ำมันมายังโรงกลั่น ว่า จากกรณีดังกล่าวได้เร่งมอบหมายให้ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าไปตรวจสอบดูแล และให้สั่งการกับ บริษัท PTTGC แทนตนเอง เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท PTTGC ตั้งคณะกรรมการสอบสวนถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยากมาก และเพื่อเป็นการป้องกันเหตุในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 และถือว่าเป็นครั้งที่ทุนแรง มีปริมาณน้ำมันรั่วมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

 

คราบน้ำมันรั่วทะลักถึงอ่าวพร้าวเกาะเสม็ดแล้ว-เร่งกำจัด

นายประทีป เอ่งฉ้วน ผู้อำนวยการสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าการเก็บกู้คราบน้ำมันดิบที่เกิดจากการรั่วไหลลงสู่ทะเลระยองของ บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า เช้าวันนี้  เจ้าหน้าที่ได้ทำการบินสำรวจคราบน้ำมัน โดยพบว่า คราบน้ำมันบางส่วนที่เล็ดรอดจากการสกัด ถึงชายหาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ดแล้ว ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเคลียร์พื้นที่ชายหาดอยู่ เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว และในวันนี้ก็จะมีทีมลงไปสำรวจที่ท้องทะเลด้วย เพื่อดูว่าคราบน้ำมันดิบที่เกิดรั่วไหล มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต รวมถึงปะการัง อย่างไรบ้าง โดยหลังจากนี้ 2 สัปดาห์ จะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น นายประทีป ระบุว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องรอข้อมูลจาก จ.ระยอง รวมทั้ง กลุ่ม ปตท. ที่จะทำการสำรวจรวมรวบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางกลุ่ม ปตท. จะต้องเข้ามาดูแลและดำเนินการอย่างเต็มที่

 

พ่อเมืองระยองระดมกำลังกำจัดคราบน้ำมัน

นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วย นายพรเทพ บุตรนิพัทธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ระดมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้ากำจัดน้ำมัน โดยมีทหารจากกองพันทหารราบที่ 7 จ.ระยอง และหน่วยนาวิกโยธิน สัตหีบ จ.ชลบุรี กว่า 300 นาย เพื่อเร่งกำจัดคราบน้ำมันที่ทะลักเข้าอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด กินพื้นที่ประมาณ 300 เมตร ในอ่าวพร้าว จนทะเลเป็นสีดำทั้งหาด ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ส่งผลกระทบการท่องเที่ยวรีสอร์ท ปิดร้างไร้เงานักท่องเที่ยว

สำหรับการฉีดพ่นสารเคมีเพื่อสลายคราบตั้งแต่เมื่อวานนี้นั้น กำจัดได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถกำจัดได้ทั้งหมด ปริมาณการย่อยสลายจึงช้ามาก ทั้งนี้ ได้ประสานไปยัง บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ส่งเรือบัสเพื่อขนรถบรรทุกลากคราบน้ำมันขึ้นเรือออกไปให้เร็วที่สุด

ส่วนคราบน้ำมันที่เกาะอยู่บนหาดและผิวทราย จะมีกรรมวิธีการเก็บกู้ให้เสร็จเร็วที่สุด ส่วนผลในระยะยาว จะมี
นักวิชาการ คณะทำงานที่มีความเชี่ยวชาญ ประเมินหาแนวทางแก้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทางทะเล
ต่อไป

 

คลื่นแรงทำขจัดคราบน้ำมันอ่าวพร้าวล่าช้า

จากกรณีพบคราบน้ำมันดิบลอยอยู่บนผิวน้ำจำนวนมาก ออกมาจากท่อส่งน้ำมันดิบกลางทะเลของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ห่างฝั่งท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ประมาณ 10 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 18 กม. สาเหตุมาจากท่อส่งน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วทำให้น้ำมันดิบประมาณ 50 - 70 ตัน ไหลทะลักแพร่กระจายบนผิวท้องทะเลเป็นบริเวณกว้างประมาณ 1 กม. ยาวประมาณ 2 กม. ท่ามกลางกระแสคลื่นและลมแรง กองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 1 ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจ และส่งเรือรบเข้าอำนวยการช่วยเหลือ ในการวางบูมล้อมบริเวณคราบน้ำมัน และฉีดน้ำยาคุม เพื่อสลายคราบน้ำมัน ไม่ให้กระจายตัวเข้าสู่ชายฝั่ง ส่วนการขจัดคราบน้ำมันในทะเล ขณะนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากคลื่นลมแรงมาก บูมที่นำมาล้อมคราบน้ำมัน ไม่สามารถป้องกันคราบน้ำมันได้อย่างเต็มที่ ขณะคลื่นลมแรงมาก คราบน้ำมันจะล้นทะลักออกนอกบูม ซึ่งเป็นปัญหาต่อการจำกัดบริเวณคราบของน้ำมันให้อยู่ในวงจำกัดได้

นอกจากนี้ จากการที่คลื่นลมแรงทำให้ทิศทางการเคลื่อนตัวของคราบน้ำมัน อาจจะซัดเข้าสู่ฝั่งบริเวณชายหาดบ้านเพ และชายหาดสวนสน จ.ระยอง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็จะทำให้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอีกด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook