ธปท. มอง GDP ไทยปี 66 โตน้อยกว่า 3% หากท่องเที่ยว-ส่งออก-บริโภคเอกชนต่ำ

ธปท. มอง GDP ไทยปี 66 โตน้อยกว่า 3% หากท่องเที่ยว-ส่งออก-บริโภคเอกชนต่ำ

ธปท. มอง GDP ไทยปี 66 โตน้อยกว่า 3% หากท่องเที่ยว-ส่งออก-บริโภคเอกชนต่ำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 66 อาจจะมีโอกาสเติบโตได้ต่ำกว่า 3% หากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่า 19 ล้านคน จากเป้าหมายที่ 21 ล้านคน รวมทั้งถ้ามูลค่าการส่งออกติดลบมากกว่า 2% จากเป้าเติบโตได้ 1.1% และการบริโภคภาคเอกชน เติบโตต่ำกว่า 1% จากเป้า 3.3%

นายเมธี ระบุว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความท้าทายมากขึ้น ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการล่าสุดเมื่อเดือน ต.ค.ว่า ปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ 2.7% ลดลงจากปี 65 ที่คาดว่าจะโตได้ 3.2% ซึ่งเป็นการปรับประมาณลงค่อนข้างมากจากเดือน ก.ค. พร้อมมองว่าปีหน้าอัตราเงินเฟ้อของประเทศเศรษฐกิจหลักจะยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวน เพราะประเทศเศรษฐกิจหลักจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ดอกเบี้ยเร่งตัวมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ทุกครั้ง และค่าเงินดอลลาร์ยังมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง รวมทั้งภาระหนี้ในหลายประเทศเร่งตัวสูงขึ้น ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยจะเป็นตัวซ้ำเติมเศรษฐกิจ โดยประเด็นทั้งหมดนี้ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.3% และปี 66 อยู่ที่ 3.8% แรงส่งหลักยังมาจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน โดยปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.5 ล้านคน และปีหน้าเพิ่มเป็น 21 ล้านคน ขณะที่ภาคการส่งออกปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 8.2% ส่วนปี 66 จะลดลงเหลือ 1.1% ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีนี้ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6.3% หลังจากนี้จะทยอยลดลงต่อเนื่องจากเดือน ก.ย.65 ส่วนปี 66 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.6% เข้าสู่กรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3%

“ในปีหน้าไทยถือเป็น 1 ใน 14 ประเทศ จาก 70 กว่าประเทศที่อัตราเงินเฟ้อจะทยอยลดลง และกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานและอาหาร ทำให้ที่ผ่านมาอาจจะได้เห็นการส่งผ่านต้นทุนไปสู่ผู้บริโภคบ้าง ส่วนปีหน้าราคาสินค้าก็อาจจะยังอยู่ในระดับสูงอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อว่าจะน้อยกว่าปีนี้อยู่พอสมควร” นายเมธี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจไทย 2023” ในงานสัมมนา Thailand 2023 : The Great Remake เศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ธปท.ได้มีการประเมินว่ากรณีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยในปี 66 จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% คือหากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่า 19 ล้านคน จากเป้าหมายที่ 21 ล้านคน รวมทั้งถ้ามูลค่าการส่งออกติดลบมากกว่า 2% จากเป้าเติบโตได้ 1.1% และการบริโภคภาคเอกชน เติบโตต่ำกว่า 1% จากเป้า 3.3%

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะต้องขยับขึ้นไปสูงเกิน 5% ซึ่งต้องมาจากระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 144 ดอลลาร์/บาเรล แต่ก็เป็นไปได้ยากถ้าไม่มีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

หากมีปัจจัยเหล่านี้จึงจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ประเด็นเหล่านี้มีความเป็นไปได้แต่ก็น้อย จะต้องเห็นภาพรวมนักท่องเที่ยวลดลงมาก ต่ำกว่า 19 ล้านคน ขณะที่มูลค่าการส่งออกจะต้องกลับมาติดลบอย่างน้อย 2% จากที่คาดการณ์ 1.1% การบริโภคเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ก็จะต้องลดลงมาเหลือ 1%

นายเมธี กล่าวอีกว่า ภาวะการเงินของประเทศไทยยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 2 ครั้ง สู่ระดับ 1% ต่อปี แต่ก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ขณะที่ระบบการเงินยังมีเสถียรภาพ โดยในแง่ของธนาคารพาณิชย์ ตลาดการเงินโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนเงินบาทมีการอ่อนค่าลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นการอ่อนค่าที่สอดคล้องกับภูมิภาค

ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศคิดเป็น 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพสูง ส่วนเงินทุนไหลออกอาจจะมีบ้างในตลาดพันธบัตร ขณะที่ตลาดหุ้นนั้นยังเป็นการนไหลเข้า ซึ่งโดยรวมตั้งแต่ต้นปี ทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรเงินทุนไหลเข้ายังเป็นบวกอยู่

“ตั้งแต่ต้นปีพบว่าเงินบาทอ่อนค่าแล้ว 12% ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับประเทศคู่ค้า 25 ประเทศ พบว่า อ่อนค่าลง 1.8% ซึ่งการอ่อนค่าดังกล่าวยังไม่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินทุน ต้องบอกว่า ไทยยังเป็นประเทศที่มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ ดังนั้นหากการท่องเที่ยวยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยเดือนละ 1 ล้านคน คงได้เห็นการเป็นบวกของดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งตรงนี้จะช่วยพยุงค่าเงินให้มีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่าระยะต่อไปค่าเงินดอลลาร์จะเป็นอย่างไร โดยยังต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ โดยตลาดยังคาดว่าเฟดจะขยับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75%” นายเมธี กล่าว

สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อ smooth takeoff นั้น ธปท. ยังคงดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยคงไม่รุนแรงเหมือนในหลายประเทศ แต่จะทำให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ มีการชั่งน้ำหนักกับหลายเป้าหมาย เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพเศรษฐกิจ ภาคครัวเรือน หนี้เอกชน โดยปัจจัยเหล่านี้จะต้องชั่งน้ำหนักให้ดีในการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

พร้อมมองว่า สิ่งที่ไม่ควรทำ คือมาตรการระยะสั้นหรือมาตรการที่ออกมาเฉพาะหน้า เพราะจะมีผลเสียในระยะยาว ส่งผลให้ตลาดการเงินปั่นป่วน นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ สิ่งที่ไม่ควรทำอีกประการ คือ การออกนโยบายที่ไม่สอดคล้องกัน ไปคนละทิศละทาง นโยบายประชานิยมที่อาจบิดเบือนการทำงานของระบบการเงิน และสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook