วัดชีพจรแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ 3 ยักษ์ใหญ่ในไทย ก่อน-หลังเจอความท้าทายหลากมิติ!

เว็บไซต์ thebangkokinsight รายงานอ้างอิงจากเซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ ว่าแหล่งข่าวมีการให้ข้อมูลว่า เจดี ดอทคอม (JD.com) บริษัท อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีนตั้งเป้าที่จะถอนตัวจากการลงทุนทำธุรกิจในไทย และอินโดนีเซีย หลังเจอปัญหายอดขายซบเซามานานหลายปี

โดยรายงานระบุว่า บริษัทกำลังมองหานักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทใน เจดี ดอท ไอดี (JD.ID) บริษัที่ร่วมทุนกับ โพรวิเดนท์ แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส กลุ่มทุนสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2558

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน เพื่อถอนตัวจากการร่วมทุนใน เจดี เซ็นทรัล ธุรกิจที่ร่วมกับ เซ็นทรัล กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2560

อย่างไรก็ดี เจดี ดอท คอม โพรวิเดนท์ แคปิตอล และเซ็นทรัล กรุ๊ป ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆ กับรายงานข่าวดังกล่าว

ทั้งนี้ การที่เจดี ดอท คอม ตัดสินใจถอนตัวจากตลาดอินโดนีเซีย และไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในตลาดเหล่านี้ ซึ่ง นายเจียงกัง หลี่ ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ โมเมนตัม เวิร์ค บริษัทลงทุนด้านเงินทุน และที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชี้ว่า ผู้บริโภคทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลดการใช้จ่ายลงอย่างมาก ทั้งเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ก็ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินท้องถิ่นทั้งภูมิภาค และทำให้สินค้านำเข้า และเชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้น

ปัจจัยลบดังกล่าวทำให้เจดี ดอท ไอดี เลิกจ้างพนักงานมากกว่า 200 คน และระงับการจ้างงานใหม่ในช่วงต้นปีนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงมา

แม้ว่าธุรกิจ E Commerce จะมีทิศทางการเติบโตในช่วงที่มาผ่าน แต่เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคอยู่ไม่น้อย เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนการใช้จ่าย โดยเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเป็นหลัก สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์กสิกรไทย ที่คาดว่าปี 2565-2566 จะเติบโตชะลอลง โดยในปี 2566 มูลค่าตลาดอาจขยายตัวราว 4-6% ต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวเฉลี่ย 26% ต่อปี ปัจจัยมาจากผู้บริโภคในยุค New normal ปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายซื้อสินค้าจำเป็น อย่างกลุ่มอาหารสด-แห้ง และเครื่องดื่ม รวมถึงของใช้ส่วนตัวมากขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าแฟชั่น สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ทางช่องทางออนไลน์ไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นเร็ว

แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ E Commerce ก็ยังเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคยังคงใช้บริการกันอยู่ต่อเนื่อง แม้ภาพรวมผลประกอบการของผู้เล่น E Commerce อาจจะไม่ได้หวือหวาเหมือนช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ปัจจุบันผู้เล่น E Commerce เจ้าใหญ่ที่ให้บริการในไทยเป็นอย่างไรบ้าง Sanook Money จะพาผู้อ่านไปส่องชีพจรผู้เล่น E Commerce 3 ยักษ์ใหญ่ อย่าง Shopee, Lazada และ JD Cantral ทั้งก่อน และหลังเจอความท้าทายในด้านเศรษฐกิจ และการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีรายละเอียดดังนี้

บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2558 ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 50 ล้านบาท แจ้งผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

• ปี 2560 รายได้ 139,759,404 บาท ขาดทุน 1,404,204,028 บาท
• ปี 2561 รายได้ 165,296,143 บาท ขาดทุน 4,113,962,832 บาท
• ปี 2562 รายได้ 1,986,021,185 บาท ขาดทุน 4,745,723,178 บาท
• ปี 2563 รายได้ 5,812,790,479 บาท ขาดทุน 4,170,174,144 บาท
• ปี 2564 รายได้ 13,322,184,294 บาท ขาดทุน 4,972,561,566 บาท

บริษัท ลาซาด้า จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2555 ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 15,600,000,000 บาท แจ้งผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

• ปี 2561 รายได้ 8,162,770,267 บาท ขาดทุน 2,645,228,838 บาท
• ปี 2562 รายได้ 9,413,215,643 บาท ขาดทุน 3,707,373,073 บาท
• ปี 2563 รายได้ 10,011,765,022 บาท ขาดทุน 3,988,774,672 บาท
• ปี 2564 รายได้ 14,675,291,653 บาท กำไร 226,886,476 บาท
• ปี 2565 รายได้ 20,675,450,640 บาท กำไร 413,084,772 บาท

บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2560 ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 4,959,271,000 บาท แจ้งผลประกอบการย้อนหลังดังนี้

• ปี 2560 รายได้ 522,296 บาท ขาดทุน 3,799,465 บาท
• ปี 2561 รายได้ 458,417,184 บาท ขาดทุน 944,120,208 บาท
• ปี 2562 รายได้ 1,284,831,719 บาท ขาดทุน 1,342,609,390 บาท
• ปี 2563 รายได้ 3,491,691,996 บาท ขาดทุน 1,375,506,210 บาท
• ปี 2564 รายได้ 7,443,356,966 บาท ขาดทุน 1,930,440,305 บาท