ค่าเงินบาทวันนี้ 6/1/66 เปิดที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทวันนี้ 6/1/66 เปิดที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทวันนี้ 6/1/66 เปิดที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ อ่อนค่าลง 34.03 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.20 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย ระบุ ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า การพลิกกลับมาอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้น มาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับตัวลงของราคาทองคำ ซึ่งทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้ ส่วนในวันนี้ ประเมินว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยต้องระวังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม การเติบโตของค่าจ้าง และดัชนี PMI ภาคการบริการ เนื่องจากในช่วงที่ตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดและสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้ออาจชะลอตัวลงได้ช้า จะกลายเป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดยิ่งกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และส่งผลให้ตลาดยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงได้ (Good News is Bad News for the Market) ซึ่งในภาวะดังกล่าว อาจเห็นเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

อย่างไรก็ดี ประเมินว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก โดยแนวต้านสำคัญของเงินบาทในระยะสั้นจะอยู่ในโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนในตลาด อาทิ บรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ ขณะที่ผู้เล่นต่างชาติที่ยังคงมีมุมมองว่าเงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ ก็รอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการเพิ่มสถานะ Short USDTHB

อนึ่ง การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้คงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.20 บาทต่อดอลลาร์

บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากล่าสุดรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP ในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 2.35 แสนรายดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 1.5 แสนราย นอกจากนี้ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.04 แสนราย และ 1.69 ล้านราย ดีกว่าที่ตลาดคาด ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดนั้น ได้สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดแตะระดับ 5.25% (จาก CME FedWatch Tool) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 3.73% กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวลงแรง และทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.57% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.16%

ส่วนในทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.20% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +1.3%, Equinor +0.7%) ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมันดิบ

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หลังภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 105 จุด อีกครั้ง นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลงแรงสู่ระดับ 1,836 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ มองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลงในการทยอยเข้าซื้อ โดยเฉพาะหากราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน คือ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจลดลงสู่ระดับ 2 แสนตำแหน่ง ตามการปรับแผนการจ้างงานของภาคธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง (Average Hourly Earnings) อาจขยายตัวในอัตราชะลอลง +0.4% จากเดือนก่อนหน้า (+5.0%y/y) ซึ่งภาพดังกล่าวจะชี้ว่า แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นการชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อผ่านตลาดแรงงาน (การเติบโตของค่าจ้าง) อาจชะลอลงตัวลงช้ากว่าที่เฟดต้องการ ทำให้เฟดยังคงกังวลแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ ซึ่งอาจสะท้อนในรายงานการประชุมล่าสุดของเฟด (FOMC Meeting Minutes) ที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอาจสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) ในเดือนธันวาคม โดยตลาดประเมินว่า ภาคการบริการจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นและการขยายตัวของการใช้จ่ายในภาคการบริการ ทำให้ดัชนี PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 55 จุด ทั้งนี้ การขยายตัวของภาคการบริการนั้น อาจทำให้เงินเฟ้อในส่วนภาคการบริการยังอยู่ในระดับสูงและอาจทำให้เงินเฟ้อโดยรวมชะลอลงยาก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook